เปิดหนังสือบันทึกความทรงจำ โอบามา ความคิดเห็นต่อปูติน-ผู้นำโลกคนอื่นๆ
A Promised Land ชื่อหนังสือบันทึกความทรงจำเล่มนี้ซึ่งอาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า ดินแดนแห่งความหวัง ขายได้แล้วเกือบ 890,000 เล่มในสหรัฐฯ และแคนาดา ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกของการวางจำหน่าย ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของสำนักพิมพ์เพนกวิน แรนดอม เฮาส์ (Penguin Random House) คาดว่า หนังสือเล่มนี้จะกลายเป็นบันทึกความทรงจำของประธานาธิบดีที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์
ในหนังสือเล่มนี้ นายโอบามา เล่าเรื่องราวการเดินทางไปทั่วโลกของเขาในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ และการพบปะหารือกับบรรดาผู้นำโลก ใครบ้างที่เขารู้สึกประทับใจและใครบ้างที่เขาไม่ประทับใจ
ผู้นำพรรคคอนเซอร์เวทีฟที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยอีตัน และทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรระหว่างปี 2010-2016 "สุภาพนอบน้อมและมีความมั่นใจ"
นายโอบามา กล่าวว่า เขารู้สึกชื่นชอบนายคาเมรอนในฐานะบุคคลคนหนึ่ง ("ผมชื่นชอบเขาเป็นการส่วนตัว แม้แต่ตอนที่เราตอบโต้กันอย่างรุนแรง" แต่เขาก็ไม่ปิดบังความจริงที่ว่า เขาไม่เห็นด้วยกับนโยบายทางเศรษฐกิจของนายคาเมรอน
"คาเมรอนยึดติดกับตำราตลาดเสรีแบบดั้งเดิม สัญญากับผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งว่า จะตัดลดการขาดดุลและการบริการภาครัฐ ควบคู่ไปกับการปฏิรูปกฎเกณฑ์และขยายตัวทางการค้า จะทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของอังกฤษก้าวเขาสู่ยุคใหม่" เขาเขียนในหนังสือ "แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เศรษฐกิจอังกฤษได้ถดถอยอย่างมาก เป็นไปอย่างที่คาดไว้"
นายโอบามา ระบุว่า ผู้นำรัสเซียผู้นี้ทำให้เขานึกถึง บุคคลสำคัญทางการเมืองที่เขาได้พบเจอที่ชิคาโกในช่วงเริ่มแรกของการรับตำแหน่ง เขาเขียนในหนังสือว่า นายปูติน "เหมือนกับหัวหน้าเขต เว้นแต่ว่าเขามีสิทธิ์วีโต้ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และมีนิวเคลียร์"
เขาระบุต่อว่า "ความจริงแล้ว ปูติน ทำให้ผมนึกถึงผู้ชายประเภทที่ควบคุมเครื่องจักรในชิคาโก หรือดูแลแทมมานี ฮอล [องค์กรการเมืองของนครนิวยอร์ก] ดูทรหด เข้าใจสภาพแวดล้อมรอบตัว มีบุคลิกนิสัยที่ไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ และไม่ออกนอกประสบการณ์ที่จำกัดของพวกเขา เป็นคนที่มองว่า การอุปถัมภ์ การติดสินบน การบุกค้น การทุจริต และการใช้ความรุนแรงในบางโอกาส เป็นเครื่องมือที่ชอบธรรมในทางการค้า"
"การสนทนากับซาร์โกซีมีทั้งความสนุกสนานและความน่าหงุดหงิดครั้งแล้วครั้งเล่า เขาขยับมือไปมาอยู่ตลอดเวลา เขาผายอกเหมือนกับไก่แจ้ ล่ามส่วนตัวของเขา...ต้องอยู่ข้างตัวเขาเสมอเพื่อช่วยแปลทุก ๆ ท่าทางและน้ำเสียงด้วยความลนลาน ขณะที่การสนทนาเปลี่ยนจากการยกยอปอปั้นไปเป็นการคุยโตถึงการเข้าอกเข้าใจอย่างถ่องแท้ของเขา และไม่เคยเบี่ยงเบนไปจากผลประโยชน์ที่สำคัญที่สุดที่ไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นได้ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญในการตัดสินใจดำเนินการของเขา และเขาก็จะอ้างผลงานในเรื่องอะไรก็ตามที่คุ้มค่าที่อ้างได้"
แองเกลา แมร์เคิล
ผู้นำเยอรมนีได้รับการระบุถึงในหนังสือเล่มนี้ว่า "มั่นคง, ซื่อสัตย์, เข้มงวดอย่างชาญฉลาด และใจดีโดยธรรมชาติ" นายโอบามาระบุด้วยว่า ตอนแรก เธอมีความกังขาในตัวเขา เพราะทักษะในการกล่าวสุนทรพจน์และการใช้ถ้อยคำที่ดูหรูหราของเขา "ผมไม่รู้สึกโกรธ ผมคิดว่า ในฐานะผู้นำเยอรมนี การไม่ชื่นชอบการฉกฉวยโอกาสทางการเมืองที่ทำได้น่าจะเป็นเรื่องที่ดี"
เรเจป ทายยิป แอร์โดอัน
นายโอบามา พบว่า ผู้นำตุรกีผู้นี้ "เป็นมิตรและโดยทั่วไปตอบสนองต่อการร้องขอของผม"
"แต่เมื่อใดก็ตามที่ผมฟังเขาพูด เขาค้อมตัวลงเล็กน้อย เขาเน้นเสียงหนักแน่นเป็นห้วง ๆ จนถึงระดับอ็อกเทฟ (ความถี่เสียงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากระดับเดิม) ตามความโศรกเศร้าหรือความไม่พอใจที่เขารู้สึก ผมรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับพันธะสัญญาของเขาที่มีต่อประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม ซึ่งจะคงอยู่ตราบเท่าที่ช่วยรักษาอำนาจของเขาไว้"
โอบามาเรียกอดีตนายกรัฐมนตรีของอินเดียว่า "ฉลาด ครุ่นคิด และซื่อสัตย์อย่างมาก" และเขาเป็น "หัวหน้าผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของอินเดีย" นายซิงห์เป็น "นักวิชาการที่ถ่อมตัว ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชน ไม่ใช่เพียงเพราะสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ แต่ยังช่วยพัฒนามาตรฐานความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น และรักษาชื่อเสียงของการเป็นคนไม่ทุจริตไว้ได้เป็นอย่างดี" นายโอบามา ระบุ
วัตสแลฟ เคลาส์
นายโอบามา ชื่นชอบนายวัตสแลฟ ฮาเวล ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเช็กหลังการปฏิวัติกำมะหยี่ แต่เขาพบว่า นายวัตสแลฟ เคลาส์ ผู้ที่ดำรงตำแหน่งต่อจากนายฮาเวล ค่อนข้างสร้างปัญหา
นายโอบามา เขียนว่า เขากลัวว่า ประธานาธิบดีที่ต่อต้านการมีอำนาจเพิ่มขึ้นของสหภาพยุโรปผู้นี้ ได้ส่งสัญญาณถึงการขยายตัวของความนิยมฝ่ายขวาทั่วยุโรป และได้แสดงให้เห็นว่า "วิกฤตเศรษฐกิจ [ปี 2008-2009] ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของลัทธิชาตินิยม ความรู้สึกต่อต้านผู้อพยพ และความกังขาต่อการรวมตัวกัน [ของยุโรป]" เขาระบุเพิ่มเติมว่า "กระแสธารแห่งความหวังของการเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตย การเปิดเสรี และการรวมตัวกัน ที่แผ่ขยายไปทั่วโลก หลังจากการสิ้นสุดของสงครามเย็น เริ่มที่จะล่าถอยลง"