
‘ปฏิรูป’ ข้อเสนอการเมืองของยิ่งลักษณ์ ชะลอขัดแย้ง-ลดเผชิญหน้า-เลี่ยงปะทะ
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ‘ปฏิรูป’ ข้อเสนอการเมืองของยิ่งลักษณ์ ชะลอขัดแย้ง-ลดเผชิญหน้า-เลี่ยงปะทะ

ที่ใครต่อใครคิดกันว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 7 สิงหาคมนี้
สถานการณ์การเมืองจะขัดแย้งถึงขั้นกลายเป็นความรุนแรงนั้น คงไม่น่าจะเกิดขึ้น แม้ในวันดังกล่าวจะมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และคณะเป็นผู้เสนอ
พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำฝ่ายค้านชัดเจนแล้วว่าจะทำหน้าที่ “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” ในสภาทุกวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย จนกระทั่งถึงการพิจารณาในวาระ 3 จบ
ลงเมื่อไหร่แล้วร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนแต่เพื่อ “คนบางคน” เท่านั้น
สัญญาณ “เป่านกหวีดยาว” อย่างที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ถึงจะเกิดขึ้น
ขณะที่องค์การพิทักษ์สยาม ที่บัดนี้ “รีแบรนด์” ใหม่มาในชื่อว่า “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ก็ประกาศจะชุมนุมในวันที่ 4 สิงหาคม ที่ลานพระรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ “นอกเหนือ” จาก 3 เขตที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เข้ามาควบคุมดูแล
อย่างที่รู้ ๆ กัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นระเบิดเวลาลูกหนึ่งเท่านั้น และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่ 1 นั้นก็เป็นแค่การเริ่มต้น ยังต้องผ่านอีก 2 วาระ และยังต้อง
เข้าที่ประชุมวุฒิสภา ฉะนั้นโอกาสที่จะใช้ “เสียงข้างมาก” ลากกฎหมายที่หมกเม็ดในท่ามกลางที่สังคมจับตาคงเป็นเรื่องที่น่าจะยากแล้ว
ข้อเสนอ “ยุบสภา” ที่ วรชัย ได้แสดงความเห็นออกมาน่าจะเป็นการส่งสัญญาณขู่ ส.ส. ในสภาซึ่งยังไม่หายเหนื่อยจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่หากดูปัจจัยการเมือง หลายต่อหลายเรื่องเป็นความได้เปรียบที่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 57 ที่ต้องผ่านก่อนสิ้นปีงบประมาณในเดือนกันยายนนี้ พ.ร.บ.งบประมาณ มีนัยความสำคัญทางการเมืองอยู่ตรงที่ “งบกลาง” วงเงินหลายหมื่นบาทที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการบริหารจัดการ หรือในกรณีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ทหารและตำรวจ
นอกจากนี้ ระเบิดเวลาอย่างร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถือเป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลปรารถนาจะให้เกิดขึ้น ทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านวาระ 1 รัฐบาลจะซื้อใจ “มวลชนคนเสื้อแดง” ได้อีกครั้งหลังจากสร้างความผิดหวัง “สับขาหลอก” ทางการเมืองไปมา เมื่อถึงตอนนั้นการสนับ สนุนให้รัฐบาลเดินหน้าผ่านร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกอ้างว่าต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิป ไตยจะเดินหน้าทันที
ไม่ใช่เรื่องง่ายในระเบิดเวลา 2 ลูกที่ว่า เพราะแม้รัฐบาลจะมีเสียข้างมาก แต่ในกรณีของ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้นถูกตั้งข้อสังเกตว่า ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งหมดจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลพยายามปูพื้นฐานมานานแล้วว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางรัฐบาลพรรค หรือในกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะเลือกเอาเฉพาะการแก้ไข “ที่มาของ ส.ว.”
การระบุว่า ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ฟังดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่หากดูโครงสร้างสังคมการเมืองในปัจจุบัน ฝ่ายที่ได้เปรียบจากการเลือกตั้ง ส.ส. ก็จะได้เปรียบในการเลือกตั้ง ส.ว. ตามไปด้วย
อย่าลืมว่า ส.ว. หรือวุฒิสภา คือกระบวนการอันหนึ่งของการได้มาซึ่งองค์กรอิสระทางการเมืองที่มีหน้าที่ “ตรวจสอบ” การใช้อำนาจรัฐ หาก “ยึดกุม” เสียงข้างมากได้ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. โอกาสจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตก็จะง่ายและสะดวกอย่างยิ่งแต่ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เริ่มเดินมาถึง “จุดขัดแย้ง” รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คอยกำหนดทิศทางอยู่เบื้องหลัง ก็เลือกที่จะยื่นข้อเสนอใหม่เพื่อลดความร้อนแรงของการเผชิญหน้าด้วยการเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทุกกลุ่มทุกสี มาพูดคุยเพื่อหาทางออกในการ “ปฏิรูปการเมือง” ร่วมกัน
อันที่จริงข้อเสนอดังกล่าวควรเกิดขึ้นนับตั้งแต่การเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทางหนึ่งก็มองได้ว่าเป็นความพยายามเพื่อลดหรือชะลอความขัดแย้งทางการเมือง “รอบใหม่” แต่อีกทางก็ปฏิเสธได้ยากว่า ในสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้า “ถอดชนวน” ระเบิดเวลา รัฐบาลก็เลือกที่จะสร้างความสนใจใหม่มากลบความสนใจเก่า
ไม่เคยมีมาก่อนที่จะมีการพูดเรื่องการ “ปฏิรูปการเมือง” ในขณะที่ลงมือทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่
ดังนั้น การปฏิรูปการเมืองจึงเป็นเรื่อง “นามธรรม” ที่ยากจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นนี้ แม้จะได้รับการตอบรับจากทุกฝ่าย แต่นานไปสภาพก็จะไม่แตกต่างจากที่เคยมีการเชิญทุกฝ่ายมาร่วมวงเพื่อสร้างความปรองดอง แต่จนแล้วจนรอดแม้สังคมไทยจะอยากให้เกิดขึ้น แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถเดินหน้าไปถึงไหน
บางคนบอกว่า ถ้าจะปฏิรูปการเมืองนั้นง่ายนิดเดียว ก็แค่ ปฏิรูปนักการเมือง เท่านั้นก็จบ
ต้องไม่ลืมว่า สถานการณ์ทางการเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ ในขณะที่การเมืองเริ่มนิ่ง เศรษฐกิจก็เดินหน้า แต่หากการเมืองเคลื่อนไหวจนนำไปสู่ “ปัจจัยเสี่ยง” เศรษฐกิจก็จะหยุดชะงัก
ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังเน้นความสนใจไปที่การเมือง เรื่องปัญหาเศรษฐกิจระดับปากท้องก็เป็นอีกเรื่องที่จะทำให้การเมืองกระเพื่อมแรงขึ้นได้ สินค้าราคาสูง โครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เงินงบประมาณไปหลายแสนล้านบาท ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพที่เงินออมน้อยลงแต่เป็นหนี้มากขึ้น
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จึงยังไม่ใช่ความขัดแย้งแบบ “แตกหัก” แต่น่าจะเป็นการ “บ่มเพาะ” สถานการณ์เพื่อถ่วงดุลทางการเมืองกับรัฐบาลมากกว่า
เพราะนับวันจะเริ่มปรากฏความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาล ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ทำอะไรเพื่อใครกันแน่
ข้อเสนอของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงไม่น่าจะใช่การ “ชักฟืนออกจากไฟ” แต่เป็นเพียงการ “ไม่เร่งกระพือลม” เพื่อ “โหมแรงไฟ” ก็เท่านั้นเอง.
พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำฝ่ายค้านชัดเจนแล้วว่าจะทำหน้าที่ “ผู้แทนปวงชนชาวไทย” ในสภาทุกวิถีทางตามระบอบประชาธิปไตย จนกระทั่งถึงการพิจารณาในวาระ 3 จบ
ลงเมื่อไหร่แล้วร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ชัดเจนว่าไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนแต่เพื่อ “คนบางคน” เท่านั้น
สัญญาณ “เป่านกหวีดยาว” อย่างที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ถึงจะเกิดขึ้น
ขณะที่องค์การพิทักษ์สยาม ที่บัดนี้ “รีแบรนด์” ใหม่มาในชื่อว่า “กองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ” ก็ประกาศจะชุมนุมในวันที่ 4 สิงหาคม ที่ลานพระรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี เพราะเป็นพื้นที่ที่อยู่ “นอกเหนือ” จาก 3 เขตที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เข้ามาควบคุมดูแล
อย่างที่รู้ ๆ กัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เป็นระเบิดเวลาลูกหนึ่งเท่านั้น และการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระที่ 1 นั้นก็เป็นแค่การเริ่มต้น ยังต้องผ่านอีก 2 วาระ และยังต้อง
เข้าที่ประชุมวุฒิสภา ฉะนั้นโอกาสที่จะใช้ “เสียงข้างมาก” ลากกฎหมายที่หมกเม็ดในท่ามกลางที่สังคมจับตาคงเป็นเรื่องที่น่าจะยากแล้ว
ข้อเสนอ “ยุบสภา” ที่ วรชัย ได้แสดงความเห็นออกมาน่าจะเป็นการส่งสัญญาณขู่ ส.ส. ในสภาซึ่งยังไม่หายเหนื่อยจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่หากดูปัจจัยการเมือง หลายต่อหลายเรื่องเป็นความได้เปรียบที่รัฐบาลก็ยังไม่ได้ลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 57 ที่ต้องผ่านก่อนสิ้นปีงบประมาณในเดือนกันยายนนี้ พ.ร.บ.งบประมาณ มีนัยความสำคัญทางการเมืองอยู่ตรงที่ “งบกลาง” วงเงินหลายหมื่นบาทที่ให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการบริหารจัดการ หรือในกรณีแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ทหารและตำรวจ
นอกจากนี้ ระเบิดเวลาอย่างร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถือเป็นอีกเรื่องที่รัฐบาลปรารถนาจะให้เกิดขึ้น ทันทีที่ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ผ่านวาระ 1 รัฐบาลจะซื้อใจ “มวลชนคนเสื้อแดง” ได้อีกครั้งหลังจากสร้างความผิดหวัง “สับขาหลอก” ทางการเมืองไปมา เมื่อถึงตอนนั้นการสนับ สนุนให้รัฐบาลเดินหน้าผ่านร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกอ้างว่าต้องการให้ประเทศเป็นประชาธิป ไตยจะเดินหน้าทันที
ไม่ใช่เรื่องง่ายในระเบิดเวลา 2 ลูกที่ว่า เพราะแม้รัฐบาลจะมีเสียข้างมาก แต่ในกรณีของ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาทนั้นถูกตั้งข้อสังเกตว่า ขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งทั้งหมดจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญที่รัฐบาลพยายามปูพื้นฐานมานานแล้วว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางรัฐบาลพรรค หรือในกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะเลือกเอาเฉพาะการแก้ไข “ที่มาของ ส.ว.”
การระบุว่า ส.ว. ต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ฟังดูเหมือนเป็นประชาธิปไตย แต่หากดูโครงสร้างสังคมการเมืองในปัจจุบัน ฝ่ายที่ได้เปรียบจากการเลือกตั้ง ส.ส. ก็จะได้เปรียบในการเลือกตั้ง ส.ว. ตามไปด้วย
อย่าลืมว่า ส.ว. หรือวุฒิสภา คือกระบวนการอันหนึ่งของการได้มาซึ่งองค์กรอิสระทางการเมืองที่มีหน้าที่ “ตรวจสอบ” การใช้อำนาจรัฐ หาก “ยึดกุม” เสียงข้างมากได้ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. โอกาสจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตก็จะง่ายและสะดวกอย่างยิ่งแต่ในท่ามกลางสถานการณ์ที่เริ่มเดินมาถึง “จุดขัดแย้ง” รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คอยกำหนดทิศทางอยู่เบื้องหลัง ก็เลือกที่จะยื่นข้อเสนอใหม่เพื่อลดความร้อนแรงของการเผชิญหน้าด้วยการเชิญทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทุกกลุ่มทุกสี มาพูดคุยเพื่อหาทางออกในการ “ปฏิรูปการเมือง” ร่วมกัน
อันที่จริงข้อเสนอดังกล่าวควรเกิดขึ้นนับตั้งแต่การเป็นรัฐบาลใหม่ ๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทางหนึ่งก็มองได้ว่าเป็นความพยายามเพื่อลดหรือชะลอความขัดแย้งทางการเมือง “รอบใหม่” แต่อีกทางก็ปฏิเสธได้ยากว่า ในสถานการณ์ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้า “ถอดชนวน” ระเบิดเวลา รัฐบาลก็เลือกที่จะสร้างความสนใจใหม่มากลบความสนใจเก่า
ไม่เคยมีมาก่อนที่จะมีการพูดเรื่องการ “ปฏิรูปการเมือง” ในขณะที่ลงมือทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่
ดังนั้น การปฏิรูปการเมืองจึงเป็นเรื่อง “นามธรรม” ที่ยากจะเกิดขึ้นในเวลาอันสั้นนี้ แม้จะได้รับการตอบรับจากทุกฝ่าย แต่นานไปสภาพก็จะไม่แตกต่างจากที่เคยมีการเชิญทุกฝ่ายมาร่วมวงเพื่อสร้างความปรองดอง แต่จนแล้วจนรอดแม้สังคมไทยจะอยากให้เกิดขึ้น แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่สามารถเดินหน้าไปถึงไหน
บางคนบอกว่า ถ้าจะปฏิรูปการเมืองนั้นง่ายนิดเดียว ก็แค่ ปฏิรูปนักการเมือง เท่านั้นก็จบ
ต้องไม่ลืมว่า สถานการณ์ทางการเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญของเศรษฐกิจ ในขณะที่การเมืองเริ่มนิ่ง เศรษฐกิจก็เดินหน้า แต่หากการเมืองเคลื่อนไหวจนนำไปสู่ “ปัจจัยเสี่ยง” เศรษฐกิจก็จะหยุดชะงัก
ขณะที่ทุกฝ่ายกำลังเน้นความสนใจไปที่การเมือง เรื่องปัญหาเศรษฐกิจระดับปากท้องก็เป็นอีกเรื่องที่จะทำให้การเมืองกระเพื่อมแรงขึ้นได้ สินค้าราคาสูง โครงการรับจำนำข้าวที่ใช้เงินงบประมาณไปหลายแสนล้านบาท ราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพที่เงินออมน้อยลงแต่เป็นหนี้มากขึ้น
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จึงยังไม่ใช่ความขัดแย้งแบบ “แตกหัก” แต่น่าจะเป็นการ “บ่มเพาะ” สถานการณ์เพื่อถ่วงดุลทางการเมืองกับรัฐบาลมากกว่า
เพราะนับวันจะเริ่มปรากฏความต้องการที่แท้จริงของรัฐบาล ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ทำอะไรเพื่อใครกันแน่
ข้อเสนอของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ จึงไม่น่าจะใช่การ “ชักฟืนออกจากไฟ” แต่เป็นเพียงการ “ไม่เร่งกระพือลม” เพื่อ “โหมแรงไฟ” ก็เท่านั้นเอง.



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday