ภาพจาก คมชัดลึกไทยยันศาลโลกไม่มีสิทธิใช้MOUตัดสิน
ภาพจาก คมชัดลึก"ทูตวีรชัย"ชี้แจงทางวาจาต่อศาลโลก ระบุกัมพูชาล้ำแดนไทย ชี้ศาลโลกไม่มีอำนาจตัดสินเรื่องขอบเขต เขตแดน แผนที่ภาคผนวกและเอ็มโอยู
17เม.ย.2556 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 17 เม.ย. เมื่อเวลา 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น กรุงเฮก ประเทศเนเธนแลนด์ คณะดำเนินการกฎหมายต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารของไทย นำโดยนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเฮก ในฐานะตัวแทนไทยดำเนินการทางกฏหมายปราสาทพระวิหาร และที่ปรึกษาต่างชาติของไทย เข้าชี้แจงทางวาจาต่อคณะผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก (ไอซีเจ) ซึ่งประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษาจำนวน 17 คน ต่อกรณีที่กัมพูชาได้ยื่นตีความอาณาบริเวณรอบปราสาทพระวิหารต่อศาลโลก โดยมีผู้แทนรัฐบาลไทยประกอบด้วย นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ศึกษาธิการ และพล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม และเจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ขณะที่คณะดำเนินการทางกฎหมายของกัมพูชา นำโดยนายฮอร์ นัม ฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ในฐานะตัวแทนไทยดำเนินการทางกฏหมายปราสาทพระวิหาร และที่ปรึกษาต่างชาติของกัมพูชา นายวาร์ กิมฮอง รัฐมนตรีอาวุโสและประธานคณะกรรมาธิการชายแดนแห่งชาติ กับนายลองวิสาโล รัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศกัมพูชา เข้าให้การชี้แจงทางวาจาต่อศาลโลก
โดยวันนี้เป็นวันแรกที่คณะดำนินการกฎหมายของไทยได้เข้าชี้แจงต่อศาลโลก เป็นนัดสุดท้ายของการต่อสู้คดีพระวิหาร ก่อนที่ศาลโลกจะพิจารณาและมีคำพิพากษาในปลายปีนี้
นายปีเตอร์ ทอมกา ประธานศาลโลก ได้เชิญนายวีรชัย ในฐานะตัวแทนไทยดำเนินการทางกฏหมายปราสาทพระวิหาร ขึ้นให้การชี้แจงทางวาจาต่อศาลโลก โดยนายวีรชัย กล่าวว่า เป็นเกียรติที่ได้รับโอกาสจากศาลโลก ในการชี้แจงในข้อเท็จจจริงต่อกรณีที่กัมพูชาขอให้ตีความอาณาบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งประเทศไทยเชื่อในการอยู่อย่างสันติสุขและความมั่งคั่งกับประเทศเพื่อนบ้าน อนาคตของไทยและกัมพูชาเชื่อมผสานกัน เรื่องเขตแดนไม่แบ่งแยก แต่เป็นโอกาสสำหรับความร่วมมือและการพัฒนาร่วมกัน ในการนี้ ประเทศไทยตกลงในกระบวนการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนร่วมภายใต้บันทึกความเข้าใจเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ซึ่งกระบวนการดังกล่าวเพื่อการกำหนดเส้นเขตแดน มิใช่เป็นกระบวนการทางยุติธรรมครอบคลุมถึงพื้นที่ซึ่งกัมพูชาอ้างในปัจจุบันด้วย รัฐบาลไทยมีความเคารพต่อศาลเสมอ และประเทศไทยก็ปฏิบัติตามคำพิพากษา ซึ่งได้รับการยอมรับแล้วโดยประมุขของกัมพูชาในสมัยนั้นซึ่งเสด็จปราสาทไม่นานหลังจากนั้น แต่ 50 ปีผ่านไป กัมพูชากลับมาขอโดยแฝงในคำขอตีความให้ศาลให้ในสิ่งที่ศาลได้ปฏิเสธอย่างชัดแจ้ง
นายวีรชัย ชี้ให้ศาลเห็นว่า คำฟ้องของกัมพูชาเป็นการใช้กระบวนการคดีในทางที่ผิดและไม่เคารพศาล เพราะคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ชัดเจน ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2505 ไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วและกัมพูชาก็ยอมรับ แต่ครึ่งศตวรรษหลังจากนั้น กัมพูชากลับมาต่อหน้าศาลเพื่อท้าทายความหมายและขอบเขตของคำพิพากษา ซึ่งเป็นการเปลี่ยนท่าทีอย่างสลับขั้ว และมีวัตถุประสงค์เพื่อขอในสิ่งที่ศาลได้ปฏิเสธแล้วในปี 2505 กล่าวคือคำพิพากษาเกี่ยวกับเส้นเขตแดนและสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งคำขอกัมพูชาไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ภายใต้ข้อ 60 ของธรรมนูญศาลว่าด้วยกระบวนการตีความ เพราะองค์ประกอบของอำนาจศาลภายใต้ข้อนี้ไม่ครบ
นายวีรชัย กล่าวยืนยันว่า ข้อพิพาทปัจจุบันเกิดจากการเรียกร้องดินแดนใหม่ของกัมพูชา เพื่อยื่นเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับคดีเดิมซึ่งเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือปราสาทซึ่งได้รับปฏิบัติแล้วทันทีภายหลังจากการมีคำพิพากษา โดยมติคณะรัฐมนตรีได้กำหนดขอบเขตบริเวณใกล้เคียงปราสาท โดยมีการสร้างรั้วและป้าย และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2505 ไทยก็ได้คืนปราสาทให้กัมพูชาพร้อมถอนกำลังทหารออกจากบริเวณนั้น ซึ่งถือว่ากัมพูชาได้ในสิ่งที่ตนขอในคำขอเมื่อปี 2502 กล่าวคืออธิปไตยเหนือปราสาท และการถอนกำลังทหารออกจากที่ดินผืนหนึ่งบนดินแดนกัมพูชาซึ่งเรียกว่าบริเวณสิ่งหักพังของปราสาท และกัมพูชาได้แสดงความพึงพอใจโดยหัวหน้าทางการทูตของกัมพูชาต่อหน้าที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ และประมุขของรัฐกัมพูชาที่เดินทางไปทำพิธีครอบครองปราสาทอย่างเป็นทางการ
จนกระทั่งถึงช่วงปี 2543 กัมพูชาไม่เคยคัดค้านการควบคุมพื้นที่อย่างเป็นจริง และความชอบธรรมของไทยในอีกฟากหนึ่งของเส้นมติคณะรัฐมนตรี และยอมรับเองในคดีนี้ว่ากิจกรรมของตนในพื้นที่ที่เรียกร้องในวันนี้เพิ่งเริ่มในช่วงปลายปี 2541 โดยการสร้างวัด และนับจากเริ่มทศวรรษ 2543 การรุกล้ำเส้นมติคณะรัฐมนตรีเข้ามาในดินแดนไทย ซึ่งเป็นการละเมิดอย่างชัดแจ้งต่อข้อ 5 ของบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกก็เริ่มเป็นที่ปรากฏเพิ่มมากขึ้น ซึ่งกิจกรรมที่ไม่ถูกต้องเหล่านี้ได้กระทบต่อกระบวนการเจรจาตามบันทึกความเข้าใจ และทำให้เกิดการประท้วงอย่างหนักจากไทย และข้อพิพาทใหม่นี้ ตกผลึกในปี ค.ศ. 2550
"เมื่อกัมพูชาเสนอแผนผังเพื่อการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารฝ่ายเดียวต่อคณะกรรมการมรดกโลก ในการประชุมสมัยที่ 31ซึ่งดินแดนที่กัมพูชาอ้างล้ำเข้ามาในดินแดนไทยประมาณสี่ตารางกิโลเมตรครึ่ง การรุกล้ำหรือเหตุการณ์ในพื้นที่ต่างๆ กลายเป็นข้อเรียกร้องทางดินแดน เพราะต้องการเขตพื้นที่ที่จำเป็นต่อการขึ้นทะเบียนปราสาท ซึ่งไทยก็ประท้วงอย่างหนักเพื่อยืนยันในอธิปไตยต่อเนื่องของไทยในผืนดินแดนซึ่งกัมพูชาเรียกร้องใหม่นี้ซึ่งไทยได้รับรู้อย่างเป็นทางการเมื่อปี2550 ประเด็นเรื่องเขตแดนนี้เกินขอบเขตของคดีเดิม ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขในกรอบของบันทึกความเข้าใจปี 2543 ซึ่งกัมพูชาปฏิเสธ และยืนยันในคำพิพากษาปี 2505 เท่านั้นเพื่อยัดเยียดเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 ตามที่ตนถ่ายทอดอย่างอำเภอใจในวันนี้ต่อไทย" นายวีรชัยกล่าว
นายวีรชัย กล่าวชี้ด้วยว่า พื้นที่พิพาทประมาณสี่ตารางกิโลเมตรครึ่งไม่ใช่ “บริเวณใกล้เคียง” ปราสาทตามนัยของวรรคปฏิบัติการที่ 2 ของคำพิพากษาเมื่อปี 2505 ทั้งนี้ ตรงข้ามกับสิ่งที่กัมพูชาอ้าง ผืนดินแดนไทยซึ่งกัมพูชาเรียกร้องตั้งแต่ปี 2550 ไม่ใช่ และไม่อาจจะเป็นบริเวณใกล้เคียงปราสาทตามนัยของคำพิพากษาเมื่อปี 2505 เพราะในคำร้องในคดีเดิม กัมพูชามิได้เรียกร้องพื้นที่ขนาดนี้ และเรื่องเขตแดน ดังนั้น ศาลไม่สามารถตัดสินเกินคำร้อง และให้ในสิ่งที่กัมพูชาไม่ได้ขอ และแม้ในคำขอเพิ่มเติมของกัมพูชาในขณะนั้นเกี่ยวกับเส้นเขตแดนและสถานะทางกฎหมายของแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งศาลไม่รับไว้พิจารณา ก็ไม่มีการระบุถึงพื้นที่สี่ตารางกิโลเมตรครึ่งดังกล่าว ซึ่งเป็นสิ่งที่อธิบายความลำบากของกัมพูชาที่จะพิสูจน์ความมีอยู่ของพื้นที่พิพาทดั้งเดิม โดยทำได้อย่างมากก็ปลอมแปลงเอกสารจดหมายเหตุและโต้แย้งด้วยเส้นจากภาคผนวก 49 ของคำให้การแก้ฟ้องของไทยเมื่อปี 2504 ที่ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
นายวีรชัยกล่าวว่า ส่วนมติคณะรัฐมนตรีของไทยเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2505 กำหนดพื้นที่ที่สอดคล้องกับ “บริเวใกล้เคียง” ปราสาท ตามความเข้าใจของคู่กรณีและศาลในคดีเดิม ซึ่งสะท้อนอยู่ในหน้า 15 ของคำพิพากษาและแผนที่ภาคผนวก 85 ดี ซึ่งเป็นแผนที่ฉบับเดียวซึ่งศาลจัดทำขึ้นในคดีเดิม เป็นดินแดนผืนหนึ่งซึ่งกัมพูชาเรียกร้องในคดีเดิม และเส้นมติคณะรัฐมนตรียังสอดคล้องกับเส้นในแผนที่ภาคผนวก 66 ซีของคำตอบแก้ของกัมพูชา ซึ่งเป็นเส้นเดียวที่กัมพูชาต่อสู้ในคดีเดิม ดังนั้น การเรียกร้องในปัจจุบันของกัมพูชาจึงเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงจากในอดีต และอ้างว่าเป็นบริเวณใกล้เคียงปราสาทตามนัยของคำพิพากษา ทำให้คำพิพากษามีความหมายและขอบเขตซึ่งแท้จริงแล้วไม่มี และพยายามให้แผนที่ภาคผนวก 1 รวมเป็นส่วนหนึ่งของส่วนข้อบทปฏิบัติการของคำพิพากษา
นายวีรชัยกล่าวว่า อนึ่ง ไทยก็เสนอเอกสารหลักฐานมากมาย ที่สามารถโต้แย้งการกล่าวอ้างของกัมพูชาได้ อาทิ อ้างว่าตนไม่รับรู้เส้นมติคณะรัฐมนตรีจนกระทั่งปี 2550 หรืออ้างว่าไทยไม่เคยโต้แย้งเส้นเขตแดนตามแผนที่ภาคผนวก 1 ดังที่ถ่ายทอด และอ้างต่อศาลในวันนี้ ซึ่งมีหลักฐานปรากฏว่า กัมพูชาอ้างเส้นนี้ประมาณปลายทศวรรษ 2000 เท่านั้น และไทยก็เพิ่งรับรู้ในเส้นดังกล่าวในปี 2550 ในกรอบคณะกรรมการมรดกโลก อีกทั้ง กัมพูชาก็ได้ตัดภูมะเขือซึ่งอยู่ 2700 เมตรห่างจากปราสาทออกจากข้อเรียกร้องของตนในปี 2502 แต่ในปัจจุบันกลับรวมพื้นที่ดังกล่าวในคำขอของตนในปัจจุบัน ซึ่งไทยใช้อำนาจอธิปไตยแต่เพียงผู้เดียวอย่างต่อเนื่อง และกัมพูชาไม่ได้ตอบโต้ต่อเอกสารหลักฐานต่างๆ เหล่านั้น
นายวีรชัยกล่าวว่า นอกจากนี้กัมพูชายังปิดตัวเองในโลกคู่ขนาน โดยอ้างว่า พื้นที่ปราสาทพระวิหารไม่อยู่ภายใต้การบังคับใช้ของบันทึกความเข้าใจฯ ด้วยผลของคำพิพากษาปี 2505 และทฤษฎีที่คลุมเครือเกี่ยวกับการแยกจากกันอย่างสิ้นเชิงระหว่างการกำหนด และการจัดทำเขตแดน แผนที่ภาคผนวก 1 เป็นที่มาเดียวของเส้นเขตแดนซึ่งถูกำหนดไปแล้วในบริเวณนี้ ซึ่งคู่กรณีก็เพียงแค่จัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ตามลักษณะของเส้นเขตแดนบนแผนที่ โดยไม่คำนึงถึงภูมิประเทศจริงและหลักทางแผนที่ ซึ่งในความเป็นจริงบันทึกความเข้าใจฯ ครอบคลุมเส้นเขตแดนร่วมทั้งแนว รวมทั้งบริเวณปราสาทด้วย และยังระบุถึงสนธิสัญญาว่าด้วยการกำหนดเขตแดน แต่ไม่ระบุคำพิพากษาปี 2505 บันทึกความเข้าใจเป็นหลักฐานที่ไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องเขตแดนในบริเวณปราสาทจะต้องได้รับการแก้ไขโดยสอดคล้องกับพันธกรณีทางสนธิสัญญา และเป็นเอกเทศจากคำพิพากษาเมื่อ ปี 2505 ในส่วนข้อกำหนดอำนาจหน้าที่ซึ่งตกลงกันในปี 2546 เพื่อปฏิบัติบันทึกความเข้าใจฯ ก็ไม่ปรากฏว่ามีการระบุถึงคำพิพากษาเมื่อปี 2505 แต่อย่างใด และไม่ปรากฏว่ามีข้อบทใดในตราสารนี้ที่ทำให้เข้าใจว่ารวมโดยนัยคำพิพากษาปี 2505 ไว้ในกระบวนการของบันทึกความเข้าใจฯ แต่เป็นตราสารที่กำหนดขึ้นตอนสำหรับงานสำรวจร่วมเส้นสันปันน้ำต่อเนื่องในพื้นที่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่รวมอยู่ในคำพิพากษา
นายวีรชัยกล่าวว่า กัมพูชาดำเนินการต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมทางกระบวนคดีเพื่อปฏิเสธสิทธิของไทยที่จะได้รับการตัดสินคดีโดยถูกต้องและเป็นธรรม และเพื่อให้ศาลเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยกัมพูชากล่าวหาว่าไทยยื่นเอกสารคำให้การลายลักษณ์อักษรที่ยาวเกิน และมีจำนวนภาคผนวกมากเกิน ซึ่งคดีนี้มีข้อเท็จจริงมากมาย กอปรกับต้นกำเนิดของข้อพิพาทย้อนไปกว่า 50 ปีก่อน คำพิพากษา และกว่า 50 ปีได้ผ่านไปหลังคำพิพากษา ซึ่งข้อเท็จจริงมีความตรงประเด็น และเป็นประโยชน์สำหรับศาลในการพิจารณาความหมายและขอบเขตของคำพิพากษา ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงก่อนปี 2505 ซึ่งมาทำให้คำให้การของคู่กรณีในคดีเดิมกระจ่างขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นพื้นที่พิพาทเดิม หรือบริเวณใกล้เคียงปราสาท หรือข้อเท็จจริงภายหลังคำพิพากษาซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่มีอยู่ซึ่งข้อพิพาทเกี่ยวกับความหมายและขอบเขตของคำพิพากษา ซึ่งเอกสารหลักฐานต่างๆ เหล่านี้กัมพูชาไม่ได้โต้แย้งใดๆ ซึ่งแสดงถึงการยอมจำนน โดยการนิ่งเฉย
นายวีรชัยกล่าวว่า แม้ว่า กัมพูชาจะเน้นเรื่องการเคารพต่อศาล กัมพูชาก็ได้ดำเนินการที่ไม่เหมาะสมทางคดีเพื่อที่จะทำให้ศาลเข้าใจผิดเกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆ อาทิการเสนอหลักฐานเดียวที่พิสูจน์พื้นที่ที่อ้างว่าเป็นพื้นที่พิพาทเดิมประมาณสี่ตารางกิโลเมตรครึ่ง กล่าวคือร่างแผนที่ ซึ่งหนึ่งในการปรากฏร่างปรากฏอยู่ในหน้าก่อนหน้า 77 ของคำตอบแก้ของกัมพูชา ซึ่งเป็นการปลอมแปลงแผนที่ฉบับที่ 3 และ 4 ของภาคผนวก 49 ของคำให้การแก้ฟ้องของไทยที่นำมาซ้อนกันในทางที่ผิดวัตถุประสงค์ และยังได้แถลงอย่างผิดๆ เกี่ยวกับหลักฐานอื่นๆ รวมทั้งแผนที่ภาคผนวก 1 ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นแผนที่ที่แนบคำขอแรกเริ่มของกัมพูชา แต่กลับถูกนำไปอ้างในเวบไซต์ของสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชา ณ กรุงปารีส ว่าเป็นแผนที่ที่ได้รับการรับรองจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศว่าเป็นภาคผนวก 1 ของคำพิพากษาฯ นอกจากนี้ยังเสนอแผนที่ภาคผนวก 1 ต่อศาลคนละฉบับกับที่ได้เสนอในคำขอแรกเริ่ม ซึ่งแน่นอนว่าต่างแสดงปราสาทอยู่ในฝั่งกัมพูชา แต่เส้นเขตแดนที่แสดงในแผนที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งกัมพูชาขอให้ศาลพิจารณาเส้นเขตแดนของแผนที่ภาคผนวก 1 แต่ว่าพูดถึงแผนที่ฉบับไหน เส้นไหน นอกจากนี้ กัมพูชายังยื่นเอกสารอย่างล่าช้าในกระบวนการ กล่าวคือหนังสือข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบเกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหาร และการเจรจาเขตแดนไทย- กัมพูชาซึ่งกระทรวงการต่างประเทศของไทยตีพิมพ์เพื่อพยายามจะหาหลักฐานมาสนับสนุนข้อพิพาทสี่กิโลเมตรตารางกิโลเมตรครึ่ง ซึ่งระบุถึงพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทใหม่ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีเดิม โดยดำเนินการแปลอย่างไม่ถูกต้องและเลือกที่จะอ้างถึงวรรคที่ไม่ประติดประต่อกัน ซึ่งไทยได้เสนอคำแปลที่ถูกต้อง และแสดงให้เห็นว่ากัมพูชาได้ดำเนินการที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจทำให้ศาลเข้าใจผิดได้อย่างไร
นายวีรชัยกล่าวว่า ส่วนในเรื่องคำสั่งเรื่องมาตรการชั่งคราวเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ศาลออกมาตรการคือมิให้เกิดการสูญเสียชีวิตขึ้น ตั้งแต่ศาลออกมาตรการการหยุดยิงในพื้นที่ต่างก็ได้รับการเคารพโดยกัมพูชา ไม่มีการปะทะกัน กการสูยเสียชีวิตหรือเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินอีกต่อไป สถานการณ์ในพื้นที่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคำสั่งศาลทุกประการ
เครดิต : ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!


กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday