ทุกอย่างเข้าทางทักษิณ
เรียกได้ว่า มาเป็นขั้นเป็นตอนกันเลยทีเดียว สำหรับพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่เดิมนั้นยื่นมาจ่อคิวที่สภาไว้แล้ว
แม้จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเซอร์ไพรส์ แต่ก็ไม่ได้นอกเหนือจากการคาดการณ์ไปก่อนหน้านี้
อาศัยจังหวะชุลมุนฝุ่นตลบ
เดินหมากหลายกระดาน เพื่อให้เกิดความสับสน จากกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ไปแล้ว ก็มาเจอเข้ากับเกมแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ดูแล้วไม่น่าจะแก้เพื่อให้ใครได้ประโยชน์ แต่เป็นการแก้เพื่อแสดงให้เห็นว่า อำนาจตุลาการนั้น หากนิติบัญญัติที่มีเสียงเด็ดขาดต้องการจะเพิ่มหรือจะลดก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมมือถึง
ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาเรื่องร้องเรียนให้ตีความเกี่ยวกับข้อกฎหมายว่าขัดหรือไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ก็ให้ผ่านการพิจารณาของอัยการสูงสุดเสียก่อน
จากนั้นก็เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ที่คนไทยทั้งประเทศกำลังร้อนจัด ก็เริงร่าไปกับมหาสงกรานต์ จนลืมคิดถึงเรื่องความขัดแย้งและสิ่งที่จะไปเร่งกระแสความขัดแย้งไปเสียสิ้น
แล้วก็เป็นจังหวะเดียวกับเรื่องของชาติบ้านเมืองกำลังมีการพิจารณาในศาลโลก
กรณีเขาพระวิหารนั้น ไม่ใช่แค่คนไทย รวมๆ หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยกพลไปเตรียมเคลื่อนไหวกันที่ภูมิซรอล จ.ศรีสะเกษ กันแล้ว
สัญญาณที่ส่งมาชัดเจนว่า หากศาลโลกตัดสินให้ไทยต้องเสียดินแดนรอบตัวปราสาทพระวิหารเพิ่ม เป็นเกิดเรื่องแน่
ก็เลยเป็นจังหวะดีที่จะเร่งขับเคลื่อนให้ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ได้มีการพิจารณาในสภา ดังที่กลุ่ม 42 ส.ส.เพื่อไทยเตรียมจะลุยหลังสงกรานต์นี้
อ้างแค่ว่า เพื่อคนเสื้อแดงที่ยังถูกจองจำอยู่จะได้มีอิสระ !
แต่เนื้อหาร่างกฎหมายก็เป็นที่รู้กันว่า มีใครที่ได้ไปแบบเต็มๆ
ขณะที่ผู้ใหญ่อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็อาศัยช่วงเทศกาลสงกรานต์เล่นบทอ่อนน้อมถ่อมตน ออกปากขอขมาลาโทษผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ได้เคยล่วงเกินมาก่อนหน้านี้
"ผมอยู่ต่างประเทศก็สบายดีครับ แต่ก็มีเหงาคิดถึงบ้านบ้าง เกือบ 7 ปีแล้ว ก็เริ่มชินๆ บ้างครับ วันสงกรานต์ก็จะคิดถึงบ้านเกิดเป็นพิเศษครับ เพราะโตมากับสิ่งแวดล้อมและประเพณีแบบนี้ ผมก็ถือโอกาสนี้เช่นกัน ขอขมาลาโทษกับผู้อาวุโสทั้งหลายที่ผมเคยล่วงเกินทั้งกายกรรมและวจีกรรม และผมขอให้อภัยกับผู้ที่เคยล่วงเกินผมทั้งกายกรรมและวจีกรรม มา ณ ที่นี้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ก็เพราะผมเป็นคนพุทธ เติบโตมาในประเพณีคนเมืองเหนือ จึงมีความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ครับ"
เรียกได้ว่า งานนี้ครบเครื่อง
มีทั้งฐานเสียงกำลังพล มีทั้ง "มือ" ในสภา แล้วก็มีทั้งการออดอ้อนร้องขอความเห็นใจ
แผนก็คือ ถ้าหาก 18 เมษายนนี้ ยังมีกระแสต้าน ก็ให้เลื่อนและรวมทุกร่างมาจ่อไว้สำหรับวาระแรกของสมัยประชุมหน้า ถ้าหากวาระ 3 โหวตไม่ทัน ก็อาจให้เปิดสภาสมัยวิสามัญโหวตกันไปเลย
แต่ถ้า 18 เมษายน เสียงค้านเงียบกริบ ก็เข้าสภาพักไว้ 1 วัน แล้วจัดการวาระแรกให้จบไป
ถามว่า ง่ายขนาดนี้ ทำไมไม่ออกเป็นพระราชกำหนดไปเลย คำตอบก็คือ ผู้เป็นน้องสาวไม่เอาด้วย
ยืนกรานว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล
ก็เลยกลายเป็นที่มาว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้ตอบสื่อตอบสาธารณะไปว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภา รัฐบาลไม่เกี่ยว
ขณะที่ฝ่ายตรงกันข้ามนั้น ยังรวมกันไม่ติด กลุ่มพันธมิตรก็แบ่งกำลังไปภูมิซรอล กลุ่ม เสธ.อ้าย ก็แทบไม่มีกำลังแล้ว เพราะคนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดียวกับกลุ่มพันธมิตร
หันไปมองพรรคประชาธิปัตย์ แม้ว่าจะชนะเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. แต่ก็ยังมีรอยร้าวจนยากที่จะหาพลังมาขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ้ำยังต่อกับกลุ่มพันธมิตรไม่ติด แถมยังมีกระแสข่าวว่า บางคนนั้นถึงขั้นผีไม่เผา เงาไม่เหยียบกันเลย
ทั้งที่ความจริง ประชาธิปัตย์มีมวลชน เพียงแต่แกนนำและเทคนิคยังเทียบชั้นกลุ่มพันธมิตรไม่ได้ เมื่อรวมไม่ได้ ต่อไม่ติด ก็ไร้พลังที่จะไปต้าน
ขณะที่กองทัพนั้น แม้จะมีการจัดระเบียบจัดองคาพยพใหม่ไปเมื่อเดือนที่แล้ว ก็ยากจะหาประเด็นมากดดันฝ่ายการเมืองยากเต็มทน
จะอ้างถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็จะเข้าข่าย "หาเรื่อง" เสียมากกว่า
ยกเว้นว่า มวลชนสองฝ่ายปะทะกันจนเสียเลือดเสียเนื้อนั่นแหละ "ยักษ์เขียว" ถึงจะขยับตัว
ประเมินทุกทิศทางแล้ว ทั้งกระแส ทั้งจังหวะ ทั้งศัตรู รวมทั้งมีบททดสอบไปหลายอย่างในก่อนหน้านี้ ปลายสมัยประชุมสภานี้จึงเป็นจังหวะที่เหมาะสมมากที่สุด
ถึงแม้จะมีตุลาการเตือนในก่อนหน้านี้ว่า การใช้เสียงข้างมากลากถูไป โดยที่ไม่คำนึงถึงเสียงข้างน้อยนั้น จะนำไปสู่ความเสียหายของบ้านเมือง แต่ในเมื่อจังหวะมันเหมาะสมเช่นนี้จะละทิ้งไปได้อย่างไร
7 ปีที่ผ่านไป สำหรับคนคนหนึ่งที่มีโอกาสมากกว่าใครหลายล้านคน แต่กลับไม่มีโอกาสเดินทางกลับบ้านนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้ง่ายๆ
ที่สำคัญความเห็นของตุลาการ ต่อให้มีพลังต่อความคิดของผู้คนในบ้านเมืองนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำไปสู่การปลุกเร้าให้มวลชนลุกขึ้นต่อต้านการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่ในสภาได้
ขนาดกฎหมายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่ผ่านสภาไปโดยที่คนฟังยังนั่งงงจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่เห็นมีปฏิกิริยาอะไรจากมวลชน
ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่า สุดท้ายแล้วต้องเอาเงินภาษีไปใช้หนี้รวมแล้วกว่า 5 ล้านล้านบาท
บางคนเห็นดีเห็นงามทั้งที่ไม่รู้รายละเอียดของการใช้เงินเสียด้วยซ้ำไป
บททดสอบเหล่านี้นี่เองที่นำมาซึ่งการตัดสินใจ "เร่งเครื่อง" เอาในช่วงปลายสมัยประชุมสภา ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์พอดี
แต่ที่ประจวบเหมาะไปกว่านั้นก็คือ ความไม่แน่นอนของรัฐบาลนี้ที่เริ่มง่อนแง่น เพราะเจอกับสารพัดเรื่องกัดกร่อนตัวเอง การทอดเวลาออกไปก็จะกลายเป็นความไม่แน่นอน
ทรุดลงเมื่อไหร่ ฝันก็สลายเมื่อนั้น
เครดิต : ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!