'นิติราษฎร์' แถลงย้ำ เสนอแก้ไข 'รธน.50' นิรโทษกรรมม็อบ - แกนนำ ยันขจัดความขัดแย้งผลพวงรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ปัดลบล้างช่วยเหลือ 'ทักษิณ'
นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 เป็นต้นตอของความขัดแย้งก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ อาทิ การชุมนุมของกลุ่มประชาชนหลายกลุ่ม การก่อคดีอาญาที่มีมูลเหตุทางการเมือง ดังนั้นเพื่อเป็นการบรรเทาความขัดแย้ง และการสร้างความเป็นธรรมในการใช้กฎหมาย คณะนิติราษฎร์สนับสนุนให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งจะมีการเขียนลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร แต่ระหว่างที่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังไม่เกิดขึ้น นิติราษฎร์ขอเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่
1. เพิ่มหมวดว่าด้วยนิรโทษกรรม และการขจัดความขัดแย้ง ซึ่งมีเนื้อหาการนิรโทษกรรมแก่บุคคลที่ร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองทุกกลุ่ม ทุกสี ตลอดจนการแสดงความคิดเห็น ที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองในช่วงเวลานับตั้งแต่ 19 ก.ย. 49 - 9 พ.ค. 55 ไม่ว่าจะเป็นแกนนำหรือผู้ชุมนุม โดยความผิดที่จะได้รับการนิรโทษกรรมนั้น ต้องเป็นความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา หรือเป็นความผิดอันมีโทษปรับสถานเดียว หรือเป็นความผิดอันมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีตามกฎหมายอื่น ซึ่งผู้กระทำความผิดในส่วนนี้ จะพ้นการรับผิดโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามการนิรโทษกรรมในส่วนนี้ต้องไม่ขัดกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งในระดับผู้สั่งการหรือระดับปฏิบัติการ เพราะในส่วนเจ้าหน้าที่นั้น หากมั่นใจว่าปฏิบัติตามกฎหมายแล้ว จะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ม.17 รองรับอยู่แล้ว
2. หากการกระทำใดที่ไม่เข้าข่าย หรืออยู่ในข้อสงสัยว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายมีมูลเหตุหรือไม่ มีความผิดที่ไม่ใช่ความผิดลหุโทษ หรือมีความผิดลงโทษจำคุกมากกว่า 2 ปี จะมีการตั้งคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเพื่อวินิจฉัย โดยระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้ และถ้ามีการฟ้องร้องเป็นคดีและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ให้ศาลระงับการดำเนินกระบวนพิจารณา และให้ปล่อยตัวจำเลยไป ขณะที่กรณีมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งมีคำสั่งปล่อยตัวผู้ต้องขังไป จนกว่าคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งได้มีคำวินิจฉัย ทั้งนี้หากวินิจฉัยว่าการกระทำไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จะถูกดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมปกติ
นายวรเจตน์ กล่าวว่า สาเหตุที่ขอเสนอดังกล่าวให้มีการแก้ไขในรูปแบบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ไม่ใช่ร่างพระราชบัญญัตินั้น เพื่อป้องกันปัญหากรณีร่างพระราชบัญญัติขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ป้องกันการถูกเหนี่ยวรั้งจนทำให้เกิดความล่าช้า เพราะสรุปจากกรณีการรวบรวมรายชื่อแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 แล้ว จะเห็นว่าถูกปฏิเสธเข้ารับการพิจารณา เพราะประธานสภาฯ ตีความว่าไม่เข้าข่ายหมวด 3 และ 5 ของรัฐธรรมนูญ ทำให้การพิจารณาไปไม่ถึงการหารือของ ส.ส.-ส.ว. แต่เมื่อมีการเสนอเป็นร่างเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จะช่วยร่นระยะเวลาการพิจารณา เพราะจะมีการเปิดประชุมพิจารณาร่วมกันของ ส.ส.-ส.ว.ได้ นอกจากนี้ตนขอยืนยันว่า ข้อเสนอดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างแน่นอน เพราะกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องในส่วนการลบล้างผลพวงจากการรัฐประหาร แต่ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเรื่องของการขจัดความขัดแย้ง
ด้านนายปิยะบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งมีจำนวน 5 คน ประกอบไปด้วย 1. จากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ 1 คน 2. จาก ส.ส. 2 คน ทั้งจากฝ่ายค้านและรัฐบาล 3. จากผู้พิพากษาหรืออดีตผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมรัฐสภา 1 คน 4. พนักงานอัยการ หรืออดีตพนักงานอัยการ ซึ่งได้รับเลือกโดยที่ประชุมรัฐสภา จำนวน 1 คน โดยให้ดำเนินการเลือกกรรมการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับ
ทั้งนี้คณะกรรมการฯ จะเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และจะยุติเมื่อมีการดำเนินการแล้วเสร็จ โดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งมีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุแห่งการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใด
นายปิยะบุตร กล่าวว่า ยืนยันการออกแบบแนวทางการนิรโทษกรรมดังกล่าว คณะนิติราษฎร์เขียนด้วยภาวะวิสัยปกติ ไม่ได้เข้าข้างใดข้างหนึ่ง เพียงแต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนเสื้อแดงถูกดำเนินคดีมากกว่าเสื้อสีอื่นๆ จึงดูได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มอื่นๆ และแนวทางนิรโทษกรรมเช่นนี้ จะสร้างวัฒนธรรมไม่นิรโทษให้แก่บุคคลทั้งหมดเหมือนในประวัติศาสตร์การเมืองที่ผ่านมา ที่ทำให้ประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองต้องจำยอมนิรโทษกรรมแก่ผู้ใช้อำนาจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีกลุ่มเสื้อแดงจำนวนหนึ่งมาร่วมรับฟังการแถลงข่าว และภายหลังก็ได้หารือว่าจะนำประเด็นดังกล่าวไปเคลื่อนไหวต่อไป โดยวันที่ 29 ม.ค. กลุ่มปฏิญญาหน้าศาล ซึ่งเคยเคลื่อนไหวกดดันให้ปล่อยนักโทษการเมืองจะรวมตัวที่หลักหมุดคณะราษฎร ก่อนเคลื่อนไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นร่างเสนอต่อรัฐบาล นอกจากนี้คณะนิติราษฎร์ยังจะร่างแถลงการณ์คัดค้านคำวินิจฉัยของประธานสภาฯ กรณีแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกด้วย