“ณัฐวุฒิ” ลั่นพร้อมดีเบตชายชุดดำ “มาร์ค-สุเทพ” วัชระ”แฉ กมธ.พัฒนาการเมือง ซีก “พท”บีบ ไม่ให้สาวต่อชายชุดดำ
ที่รัฐสภา นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะแกนนำแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวถึงการดีเบตเรื่องชายชุดดำกับพรรคประชาธิปัตย์ว่า ตนยืนยันว่าพร้อมขึ้นเวทีดีเบตกับคนเพียง 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์แก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และตนในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่มจนจบ จึงถือว่าเกี่ยวข้องเต็มๆ ส่วนการที่นายอภิสิทธิ์ ระบุว่าขอขึ้นเวทีดีเบตกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นการยื้อเวลา หลบความจริงเท่านั้น
ด้านนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการ การพัฒนาการเมือง และการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฏร กล่าวว่า จากกรณีที่อนุกรรมาธิการฯได้ออกหนังสือเรียกเชิญบุคคลที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับชายชุดดำใช้อาวุธสงครามในการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตลอดช่วงเวลา 2สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เกิดข้อท้วงติงจากกรรมาธิการชุดใหญ่ซึ่งเสียงข้างมากเป็นของพรรคเพื่อไทย ได้ขอให้คณะอนุฯที่ตนเป็นประธานอยู่ยุติการตรวจสอบเรื่องชายชุดดำโดยระบุว่าไม่สบายใจที่ขุดคุ้ยเรื่องดังกล่าวขึ้นมา ซึ่งนายสุพล ฟองงาม ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กรรมาธิการฯ ระบุว่าไม่มีประโยชน์ในการหาข้อเท็จจริงเรื่องชายชุดดำ เพราะไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ตนในฐานะประธานคณะอนุฯจึงขอระงับการตรวจสอบเรื่องดังกล่าวไว้ 2 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะทำเรื่องขอมติจาก กมธ.ชุดใหญ่เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
นายวัชระ กล่าวต่อว่า ส่วนที่นายธาริตได้ออกมาตั้งรางวัลนำจับ 1.2 ล้านบาท ให้กับผู้ชี้เบาะแสจนทำให้เจ้าหน้าที่จับกุมชายชุดดำที่ใช้อาวุธสงครามยิง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม และทหารที่เสียชีวิตในวันที่ 10 เม.ย.53 เป็นเครื่องยืนยันว่ามีชายชุดดำจริง แต่นายธาริตได้ทำผิดสัญญาตามที่รับปากไว้กับ กมธ. งบประมาณที่เคยระบุว่า จะตั้งรางวัลนำจับชายชุดดำ 10 ล้านบาท ไม่ใช่ 1 ล้านบาทเศษ จึงขอถามว่าเหตุใดจึงลดจำนวนเงินลง จะคุ้มค่ากับความเสี่ยงของผู้ให้เบาะแสข้อมูลหลักฐานหรือไม่อย่างไร