
เปลี่ยนแปลงกำหนดนัดหมายแทบทุกอย่างทั้งหมด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะจะเดินทางไปตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ จ.สุโขทัย ในวันที่ 13 กันยายน
โดยจะเดินทางด้วยเครื่องบินไปลงที่สนามบิน จ.พิษณุโลก ก่อนเดินทางต่อด้วยรถยนต์ไปยัง จ.สุโขทัย จากนั้นกลับมาค้างคืนที่ จ.พิษณุโลก
จากนั้น ช่วงเช้าวันที่ 14 กันยายน จะลงพื้นที่ จ.พิจิตร และ จ.กำแพงเพชร เพื่อตรวจเยี่ยมสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะพื้นที่บางระกำ พร้อมกับเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่มาเตรียมแผน พร้อมมอบนโยบายรับมือสถานการณ์น้ำ เนื่องจากไม่ต้องการให้เกิดปัญหาเหมือนที่ จ.สุโขทัย
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ในการประชุม กบอ.ครั้งล่าสุด นายกรัฐมนตรีแสดงความ ไม่พอใจอย่างยิ่งกับเหตุน้ำท่วมที่ จ.สุโขทัย เนื่องจากผู้ว่าฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้รายงานสถานการณ์เข้ามา
ทำให้ต้องตัดสินใจลงพื้นที่ด้วยตัวเอง
ต้นสัปดาห์ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ต้องลงจากทำเนียบรัฐบาล มารับคำร้องเรียนของชาวบ้านท่าอิฐ จ.นนทบุรี ที่เดินขบวนกันมาร้องทุกข์ว่า
แม้เวลาจะผ่านไปร่วม 1 ปี ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่
แต่วันนี้ชาวบ้านก็ยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากหน่วยงานของรัฐ
ทั้งสองเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับอุทกภัย สะท้อนให้เห็นถึงความบกพร่องของกลไกรัฐในการจัดการและรับมือกับสภาพน้ำ
ประการหนึ่ง ภาวะ "ซิงเกิ้ล คอมมานด์" เพื่อบริหารจัดการน้ำทั้งระบบตามแผนการที่วางไว้จะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าไม่มีข่าวสารข้อมูลเข้ามาสู่การรับรู้เพื่อวางแผนและตัดสินใจ
ประการหนึ่ง มีความผิดพลาด บกพร่อง และความไร้ประสิทธิภาพในองค์กรของรัฐ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นขึ้นมาจนกระทั่งถึงระดับกระทรวง ทบวง กรม ที่ทำให้การเยียวยาประชาชนผู้ประสบภัยเป็นไปอย่างล่าช้า
ล่าช้าเสียจนภาระในการแก้ไขปัญหาต้องตกมาอยู่บนบ่าของนายกรัฐมนตรี
แม้ด้านหนึ่ง ความเป็นจริงในท้ายที่สุด จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าน้ำจะท่วมหรือไม่ ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนหรือไม่
แต่ก่อนที่จะถึงเวลาดังกล่าว ทำอย่างไรรัฐบาลจะไม่สิ้นสภาพไปเสียก่อน
เพราะความไม่เชื่อมั่นส่วนหนึ่ง และด้วยแรงกระพือทางการเมืองอีกส่วนหนึ่ง
ถึงในด้านสถิติข้อมูล น.อ.สมศักดิ์ ขาว สุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จะระบุว่า สถานการณ์น้ำท่วมทางตอนบนของประเทศปริมาณน้ำเริ่มลดลง เพราะฝนตกทางภาคเหนือเริ่มหยุด ขณะที่การระบายน้ำก็เป็นไปตามแผน
แต่เหตุการณ์ที่น้ำท่วมตัวเมืองสุโขทัยเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาอุดจุดที่น้ำลอดใต้ดินขึ้นมาราว 2 วัน
ก่อนจะสูบน้ำที่ท่วมขังออก
และยืนยันปีนี้น้ำจะไม่ท่วม จ.ปทุมธานี, นนทบุรี และกรุงเทพฯ แน่นอน เพราะมีการระบายน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อลดปริมาณน้ำ
แม้จะมีปริมาณฝนมาก แต่เมื่อเทียบเกณฑ์เฉลี่ยของน้ำฝนพบว่ามีปริมาณน้ำฝนก็ยังน้อยกว่าปีที่แล้ว 30%
"ปีที่แล้วที่น้ำท่วมเกิดจากมีปริมาณน้ำท้ายเขื่อนมากบวกกับเขื่อนปล่อยน้ำมามากทำให้เกิดปริมาณน้ำที่มากจนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งต่างจากปีนี้
"ขณะนี้ปริมาณไหลอยู่ที่ 1,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที เทียบกับปีที่แล้วปริมาณน้ำไหล อยู่ที่ 5,000 ลูกบาศก์เมตร/วินาที"
และปัจจัยอาจทำให้เกิดน้ำท่วมในปีนี้นั้น จะต้องมีองค์ประกอบ 3 ปัจจัย ได้แก่
1.มีฝนตกหนักต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ด้วยปริมาณ 100 มิลลิเมตร/ชั่วโมง
2.มีพายุเข้าประเทศไทยแบบเต็มๆ
3.ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณการไหลอยู่ที่ 2,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที
จากปัจจุบันอยู่ที่ 1,800 ลูกบาศก์เมตร/ วินาที
ทั้งหมดนี้ก็ยังไม่อาจวางใจ
เพราะท้ายที่สุด น้ำจะท่วมหรือจะแห้งก็เป็นประเด็นหนึ่ง
ขณะที่รัฐบาลจะ "ได้" หรือ "เสีย" จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
เป็นเหตุผลว่าทำไม น.ส.ยิ่งลักษณ์ถึงเอาจริงเอาจังอย่างยิ่ง
กับการจัดการปัญหาน้ำท่วม



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว