นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทษไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ
ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ยื่นร่างพ.ร.บ.ปรองดอง เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเนื้อหาสาระเพื่อล้างคดีให้กลุ่มบุคคลต่างๆ ว่า นี่เป็นขบวนการทำเพื่อผลประโยชน์ต่างตอบแทน การที่พล.อ.สนธิ ยอมเปลืองตัวรับหน้าเสื่อเป็นประธานกมธ.ปรองดอง รับงานนี้มาผลักดัน เมื่อขบวนการปรองดองออกมาเป็นรูปเล่มโดยสถาบันพระปกเกล้าผ่านพิธีกรรมปลุกเสกความถูกต้อง อ้างความชอบธรรมของงานวิชาการแล้ว รอจังหวะชงเข้าสู่สภาก็ถือว่างานสำเร็จตามที่รับมอบหมาย พรรคเพื่อไทยก็มอบตำแหน่งกรรมาธิการงบประมาณปี 56 ให้
"มีความพยายามที่จะตั้งอนุกรรมาธิการขึ้นใหม่อีกชุด คือชุดทหารที่คุมงานกลาโหมของกองทัพทั้งหมดเป็นอนุฯชุดที่ 8 เดิมคาดว่าจะตั้งให้ พล.อ.สนธิ เป็นประธาน แต่เมื่อมีข้อมูลออกเป็นข่าว ก็อาจจะคลาดเคลื่อนไม่ให้มันชัดเจนมากไป แต่ฟันธงว่าสุดท้าย พล.อ.สนธิ จะเป็นหนึ่งในคณะอนุกมธ.ทหารในกมธ.งบปี 56 เพราะที่ผ่านมา เมื่อมีการพิจารณางบประมาณของกองทัพ ไม่เคยมีส.ส.หน้าไหนกล้าตัดงบทหาร แต่ปีนี้คาดได้ว่าจะมีการตัดงบลง" นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า พล.อ.สนธิ ยอมเปลืองตัว แต่เกมนี้คนที่คุ้มสุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ
ตนเชื่อว่าที่สุดกระบวนการปรองดองจะผ่านไปได้ในส่วนที่เป็นคดีความทั้งในส่วนของการชุมนุมของสีต่างๆ โดยไม่เกิดความรุนแรง เนื่องจกา 1.สังคมไทยเบื่อหน่ายกับความไม่สงบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาซึ่งบอบช้ำมาก 2. คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับพ.ต.ท.ทักษิณ อ่อนแรง ขาดผู้นำ คนที่เคยต่อต้านอยู่ในภาวะช็อค 3.ในการตั้งม็อบ จัดมวลชนต้องใช้ทุน เวลานี้ ไม่มีเจ้าภาพที่กล้าทุ่มทุนอีกแล้ว เพราะมีตัวอย่างให้เห็น