เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ ( 17 เม.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประเทศกัมพูชาในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ว่า ส่วนใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณจะใช้เวลาพบปะกับพี่น้องประชาชน ตลอดจนปรึกษาหารือถามสารทุกข์สุกดิบกับส.ส. พรรคเพื่อไทย และ แกนนำ นปช. ซึ่งตนและแกนนำ นปช. คนอื่นๆ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างเต็มที่เมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมาโดยได้มีโอกาสไปร่วมเยี่ยมอาการป่วยของบิดาสมเด็จฮุนเซ็นที่บ้านพักในกรุงพนมเปญ ได้มีโอกาสสัมผัสกับบรรยากาศของมิตรภาพที่แนบแน่นลึกซึ้งและจริงใจของอดีตผู้นำและผู้นำของประเทศทั้ง 2 คน คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ สมเด็จฮุนเซ็น ถือเป็นความประทับใจและเห็นว่านี่เป็นโอกาสของทั้งสองประเทศที่จะเดินหน้าเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และสร้างความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศต่อไป
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้พูดอะไรมากนัก เพียงแต่บอกว่าคิดถึงบ้านอยากกลับประเทศไทย ยิ่งเห็นพี่น้องประชาชนไปให้กำลังใจมากก็อยากทำงานและทำประโยชน์ให้ แต่ว่าในชั้นนี้เมื่อสถานการณ์ยังไม่ถึงเวลา พ.ต.ท.ทักษิณก็ทำได้เพียงการส่งกำลังใจและความปรารถนาดีมายังพี่น้องประชาชนและส่งกำลังใจมาให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองต่อไป
เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้ขยายความถึงการปราศรัยที่ว่าอยากจะกลับประเทศไทยในปีนี้ซึ่งเป็นปีมหามงคลหรือไม่ว่าจะมีแนวทางอย่างไร นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณประกาศเสมอมาคืออยากจะกลับมาใช้ชีวิตในผืนแผ่นดินเกิด ส่วนรูปแบบวิธีการและรายละเอียดนั้น คงจะไม่ได้อยู่ที่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณเพียงคนเดียว คงอยู่ที่สถานการณ์ภาพรวมทั้งประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นชะตากรรมทางการเมือง ดังนั้นเหตุปัจจัยที่จะพิจารณาในการกลับประเทศไทยก็จะต้องดูเหตุปัจจัยทางการเมืองเป็นด้านหลัก
ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะนี้กรณีพ.ร.บ.ปรองดองดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากขึ้นกว่าผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นเรื่องเดียวกัน ผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าก็เป็นการศึกษาตามโจทย์ของ กมธ.ปรองดองที่มีเป้าหมายเพื่อให้รายงานชิ้นนี้ต่อยอดไปถึงการปรองดองสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นให้ได้ ดังนั้นจึงไม่มีอะไรเบากว่าหรือแรงกว่าทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกันปลายทางคือความปรองดอง
ส่วนการที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่าเรื่องการปรองดองไม่มีทางออกนอกจากยื่น พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสู่สภา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เป็นปกติของสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความสับสนขัดแย้งก็จะมีความเห็นที่แตกต่างกันไปด้วย อย่างไรก็ตามทางฝ่ายสภาก็เดินหน้าดำเนินการเรื่องนี้อยู่ รัฐบาลก็ได้รับทราบแล้ว ส่วนขั้นตอนเป็นอย่างไรต่อไปเชื่อว่าแต่ละฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบก็ต้องคิดอ่านอย่างรอบคอบ ฝ่ายรัฐบาลเองเมื่อได้รับทราบผลการศึกษาของ กมธ. ปรองดองแล้ว ก็ยังไม่มีก้าวต่อไปและต้องใช้เวลา
ต่อข้อถามว่าเห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ปรองดองที่ ร.ต.อ.เฉลิมได้เสนอมาก่อนหน้านี้หรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เรื่อง พ.ร.บ.ปรองดองทุกคนปฎิเสธไม่ได้ แต่เท่าที่ตนตามข่าวของแต่ละคนแต่ละท่านก็จะมีความแตกต่างในเรื่องของรายละเอียด ในสาระสำคัญคงจะต้องรอดูว่าถ้าถึงเวลานั้น เนื้อหาสาระของแต่ละส่วนจะเป็นอย่างไร ตนไม่ได้รอคอยเนื้อหาสาระของกฎหมายใดเป็นพิเศษ แต่ตนคิดว่าถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองนี้จะต้องหาทางออกจากวิกฤตของความขัดแย้งให้ได้ ไม่ควรมีใครค้ากำไรจากความขัดแย้งนี้อีก และตนแน่ใจว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ต้องการแบบนี้
“ พ.ต.ท.ทักษิณเองท่านก็ต้องการ พ.ต.ท.ทักษิณแม้ว่าชะตากรรมของตัวท่านเองจะเป็นอย่างไร ก็คงไม่ได้หมายความว่าท่านจะเอาชะตากรรมของตัวท่านเองนำหน้าชะตากรรมของประเทศ เวลานี้คำว่าปรองดองหมายถึงทั้งหมดที่เป็นคนไทยได้ประโยชน์ บ้านเมืองนี้จะได้มีโอกาส แต่ว่าใครที่จะอยู่ในการปรองดองนี้ ใครที่จะมีโอกาสได้รับความยุติธรรมจากการปรองดองที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องรองและต้องตามมาทีหลัง”
นายณัฐวุฒิยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เตรียมแจ้งความดำเนินคดีกับรัฐมนตรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และส.ส. ที่เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณที่ลาวและกัมพูชา ว่า เวลานี้พรรคประชาธิปัตย์มีอาการเหมือนสาวประเภทสอง ที่ปีนขึ้นรถกระบะเต้นโชว์หน้าอก เปิดเผยให้คนเห็นตัวตนทั้งประเทศ เรื่องนี้เทียบไม่ได้กับการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปร่วมงานแต่งงานใน กทม. แล้วยืนถ่ายรูปคู่กับมารดาของ ส.ส.รายหนึ่งที่โกงเงินธนาคารเป็นพันล้าน แต่ยังไม่มีการจับกุมดำเนินคดี เรื่องแบบนี้พรรคประชาธิปัตย์ก็ทำมาก่อน