ทุกคนใน "47 ผู้ทรงคุณวุฒิ" ที่ถูกคณะวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า นำโดย "วุฒิสาร ตันไชย" รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า สัมภาษณ์เรื่อง "การสร้างความปรองดองแห่งชาติ" บอกว่า ต้องการเห็นความปรองดองในบ้านเมือง
ทุกคนใน "38 คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร" ที่มี "พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคมาตุภูมิ (มภ.) เป็นประธาน บอกว่าต้องการทำให้เกิดการปรองดองขึ้นในสังคม
ทว่า "พฤติกรรม" ที่บางคน-บางพรรค-บางพวกแสดงออก กลับสวนทางกับ "คำพูด" อย่างหนัก เมื่อต่างฝ่ายต่างสอด-ส่องเพียง "บางเนื้อหา" เพื่อฉวยเอาประโยชน์ใส่ตน ไม่ก็ชี้ชวนให้ชิงชังวาระซ่อนเร้นของ "ขั้วตรงข้าม"
ทำให้ "ผลวิจัยปรองดอง" กลายเป็น "อาวุธทางการเมือง" ที่ตอกลิ่มความขัดแย้งในสังคม
ก่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 4-5 เมษายน เพื่อรับทราบรายงานของ กมธ.ปรองดองจำนวน 54 แผ่น จะเริ่มต้น
"มติชน" ได้สกัดสาระสำคัญของ "รายงานร้อน" ซึ่งอ้างอิงผลศึกษาวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นบทสรุปร่วมกันของ กมธ.ปรองดอง ก่อน กมธ.ซีกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะประกาศถอนตัว
ก่อนข้อเสนอต่างๆ จะถูกสนองด้วยการใช้เสียงข้างมากลากไป
เปิดจุดยืนกมธ. บิ๊กบัง ก่อนปชป.ชิ่ง ขบวนปรองดอง

ผลการศึกษาของกมธ.
1.กมธ.เห็นว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมือง และเป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่เกิดจากการเมืองการปกครอง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม กฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งทุกด้านอ่อนแอ ขาดประสิทธิภาพ และไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม จนนำไปสู่การยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549
2.กมธ.เห็นว่าความขัดแย้ง จนนำไปสู่ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 มิได้เกิดจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นผลของการกระทำในหลายเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เพื่อขับไล่ "รัฐบาลทักษิณ" ปี 2548 การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) การชุมนุมของ พธม. เพื่อขับไล่ "รัฐบาลสมัคร" และ "รัฐบาลสมชาย" การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อเดือนเมษายน 2552 จนเกิดเหตุเมษายน-พฤษภาคม 2553
3.กมธ.เห็นว่าเหตุความขัดแย้งครั้งนี้แตกต่างจากอดีต เนื่องจากเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชน ซึ่งแบ่งออกเป็นกลุ่มเป็นสี จึงต้องแก้ปัญหาที่รากเหง้า ควบคู่กับกระบวนการสร้างความปรองดอง แต่กรณีประเทศไทยต่างจากต่างประเทศ เพราะเป็นการสร้างความปรองดองในขณะที่คู่กรณี และสาเหตุแห่งความขัดแย้งยังดำรงอยู่ ซึ่งอาจเกิดการเผชิญหน้าและนำไปสู่เหตุรุนแรงได้ตลอดเวลา
4.กมธ.พบว่าประเด็นอ่อนไหวที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าของสังคม ประกอบด้วย 1.การแก้ไขมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา 2.การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 3.การปรองดอง โดยเฉพาะการนิรโทษกรรมผู้เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ยังมีประเด็นการไต่สวนหาสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชนในช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 ที่อาจนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างประชาชนกับกองทัพ ประเด็นการชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง ตามมติ ครม.วันที่ 10 มกราคม 2555
5.ผลของความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทย ได้สร้างความเสียหายแก่เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคงในระดับอันตรายสูงสุด ทำให้ประเทศขาดความมั่นคงและสูญเสียอำนาจการแข่งขัน จึงจำเป็นต้องสร้างความปรองดองอย่างเร่งด่วน
6.ทุกภาคส่วนของสังคมทั้งรัฐบาลชุดนี้และชุดก่อน ภาคประชาชน และภาคธุรกิจ ต้องการให้ประเทศไทยยุติความขัดแย้ง และสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยเร็วที่สุด
ข้อสังเกตของ กมธ.ต่อรายงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า
1.กมธ.เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง โดยไม่รวมกรณีความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบัน ซึ่งควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ
2.กมธ.สนับสนุนส่งเสริมบทบาทของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ในการตรวจสอบค้นหาความจริงของเหตุรุนแรงทางการเมืองให้แล้วเสร็จใน 6 เดือน
3.กรณีการลบล้างผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) กมธ.จำนวนหนึ่งเห็นว่าในอดีตเคยมีการลบล้างการดำเนินการโดยองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้นตามคำสั่งคณะปฏิวัติ เช่นเดียวกับ คตส.มาแล้ว ปรากฏตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 913/2536 ซึ่งวินิจฉัยว่า "ประกาศคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ฉบับที่ 26 ข้อ 2 และข้อ 6 มีผลเป็นการตั้งคณะบุคคลที่มิใช่ศาล มีอำนาจทำการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเช่นเดียวกับศาล ทั้งออกและใช้กฎหมายที่มีโทษอาญา ย้อนหลังไปลงโทษอาญาแก่บุคคลย้อนหลัง เป็นการขัดต่อประเพณีการปกครองในระบอบประชาธปิไตย จึงใช้บังคับมิได้"
4.ปัจจัยสำคัญที่จะนำไปสู่การสร้างความปรองดองแห่งชาติ ต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างบรรยากาศแห่งการปรองดองด้วยการเปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายมีโอกาสถกเถียง แบ่งเป็น 2 ระดับคือ ระดับตัวแทนการเมือง/ผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง กับระดับประชาชนทุกพื้นที่
เหล่านี้คือจุดยืนที่ กมธ.ปรองดองร่วมกันกำหนด ก่อน กมธ.ซีก ปชป.จะกระโดดลงจาก "ขบวนปรองดอง" ที่เชื่อกันว่า "หัวจักร" ไม่ใช่ชายชื่อ "พล.อ.สนธิ"!!!



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว