นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการฟ้าวันใหม่ ทาง Blue Sky Channel ถึงบรรยากาศการประชุมร่วมของรัฐสภาเมื่อวานนี้ ( 27 มีนาคม ) ถึงบรรยากาศการประชุมร่วมของรัฐสภา ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ ไม่ยอมตอบคำถาม 3 คำถาม
กรณีเร่งรีบเสนอญัตติรายงานของกรรมาธิการเข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภา ซึ่งทางฝ่ายค้านอ้างว่า รายงานดังกล่าว ยังไม่สมบูรณ์ และที่ประชุมสภาใช้เสียงข้างมากปิดอภิปราย โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผมคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อคืนเมื่อวาน(27 มี.ค.) เป็นตัวที่บ่งบอกว่า สิ่งที่กำลังทำกันอยู่นั้น ตกลงมันปรองดอง หรือมันจะเพิ่มความขัดแย้ง ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้รับปากรับคำจากสถาบันพระปกเกล้าว่า จะมีการพูดจาเรื่องนี้กันด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่มีการใช้เสียงข้างมาก
ปรากฎว่าเมื่อวานนี้ พยายามใช้เสียงข้างมาก และอำนาจประธานสั่งทุกเรื่อง เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่า รายงานที่จะเข้าสภาผู้แทน จะเข้าสภาผู้แทนเมื่อไหร่นะครับ แต่ว่าก็จะเป็นปัญหาแน่นอน เรื่องนี้ก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งกันมากขึ้น
พร้อมยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนปรองดอง แต่ไม่สนับสนุนให้ล้างผิดคนโกง
"ผมต้องย้ำว่า จริง ๆ ก่อนที่จะมีเรื่องนี้มันมีปัญหาความขัดแย้ง และขณะนี้จำเป็นเร่งด่วนอะไร ที่จะต้องมีการไปออกความคิดที่ไปออกกฎหมาย แล้วก็เป็นการออกกฎหมายเพื่อล้างผิดอย่างเดียว ผมก็เห็นว่าเอาละความคิดเห็น ความขัดแย้งมีอยู่ แต่ว่าจะหาข้อยุติอะไรกันยังไงนั้น ก็มีความจำเป็น แต่ว่า ผมยังไม่เห็นว่ามันมีความจำเป็นเร่งด่วนขณะที่ว่าไม่ฟังเสียงกันแล้ว แล้วก็ดาหน้าตรากฎหมายตามใจชอบฝ่ายเดียว แล้วมันจะเกิดความปรองดองขึ้น
ตนถึงบอกว่า ประชาธิปัตย์นั้นสนับสนุนปรองดอง แต่ไม่สนับสนุนให้ล้างความผิดคนที่เป็นคนโกง ฉะนั้นขณะนี้กำลังจะอ้างการปรองดองเพื่อมาล้างโกง อันนี้แหละครับที่จะเป็นปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่อไป และผมก็ยืนยันว่า สิ่งที่ทำอยู่ขณะนี้กำลังหาทางออกเรื่องปรองดองนั้น สถาบันพระปกเกล้าเขาบอกว่า หลายเรื่องมันละเอียดอ่อน ต้องค่อย ๆ ดำเนินการ แต่พอมาวันนี้จะทำกันอย่างนี้ มันก็น่าเป็นห่วงครับว่า สุดท้ายก็จะเกิดความแตกแยกรอบใหม่อย่างรุนแรงครับ”หัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน กล่าว
แม้ว่าหลังจากนี้จะมีความเป็นไปได้ว่าประธานสภา จะบรรจุวาระเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติรายงานของคณะกรรมาธิการ ประมาณวันที่ 4 เมษายน แต่ตนยังเห็นระหว่างวิปฝ่ายค้าน กับฝ่ายรัฐบาลควรจะได้มีการพูดคุยกัน เพราะรัฐบาลต้องกลับไปทบทวนให้ดีว่านี่คือแนวทางที่กำลังจะนำพาประเทศไปจริงหรือไม่ หรือต้องการให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่ หรือต้องการที่จะบอกว่าเสียงข้างมากจะทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องฟังเสียงใครทั้งสิ้น
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ยังได้เรียกร้องอีกครั้งว่าขอให้สถาบันพระปกเกล้า และคณะผู้วิจัยกำหนดจุดยืนของตนเองให้ชัดเจนต่อเรื่องนี้ และไม่ควรปล่อยให้มีการนำงานวิจัยไปบิดเบือนเพื่อนำไปใช้ล้างความผิดให้กับคน ๆ เดียว
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า แม้เรื่องนี้จะผ่านวาระเข้าไปถึงการเตรียมเข้าประชุมในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว แต่หากคณะผู้วิจัยถอนรายงานวิจัยออกไป ก็จะทำให้เรื่องนี้หมดความชอบธรรมที่คณะกรรมาธิการจะอ้างรายงานของสถาบันพระปกเกล้า
“อย่าลืมว่ารายงานของคณะกรรมาธิการนั้น ก็ไปหยิบฉวยเอาสิ่งที่ปรากฎอยู่ในรายงานของคณะผู้วิจัย ดังนั้นถ้าคณะผู้วิจัยบอกว่า เห็นแล้วว่ารายงานของตนเองกำลังถูกไปใช้ในลักษณะที่บิดเบือนเจตนารมณ์ ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะถอนทันที ถอนไปแล้วผมก็คิดว่า มันก็หมดความชอบธรรม ที่คณะกรรมาธิการจะมาอ้างรายงานของพระปกเกล้า”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ทั่วโลกที่เป็นประชาธิปไตย การใช้เสียงข้างมาก คือตัวที่บ่งบอกว่าเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่ใช้เสียงข้างมากก้าวล่วงอำนาจศาล ไม่ใช้ปิดกั้น ปิดปากคนอื่น
“ผมว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องเห็นภาพอย่างนั้น แต่ว่าการจะมาทำในสิ่งซึ่งไม่ถูกต้องมันก็เกิดปัญหาขึ้น ทั่วโลกที่เป็นประชาธิปไตย มีเสียงข้างมาก เสียงข้างน้อย เราก็เข้าใจนะครับว่าเสียงข้างมากนั้นมีสิทธิ์ แต่ว่าการใช้เสียงข้างมากนี่แหละครับมันเป็นตัวบ่งบอกว่าเป็นหรือไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าใช้มีขอบเขต เหมือนกับที่ประเทศประชาธิปไตยเขาใช้กันแล้ว มันก็ต้องไม่มาทำเรื่องที่ไปก้าวล่วงที่เป็นเรื่องของอำนาจของศาล มันก็ต้องไม่มาใช้ในลักษณะซึ่ง ไม่ตรงไปตรงมา มันต้องไม่มาใช้ในลักษณะที่ปิดกั้น ปิดปากคนอื่น ถ้าทำอย่างนี้ก็ไม่มีที่ไหนเขายอมรับกันว่าเป็นมาตรฐานของประชาธิปไตย”
ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ได้ตั้งข้อสังเกตถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าเป็นกลยุทธ์ของรัฐบาลในการเร่งกระบวนการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยกันไม่ให้นายกฯ เข้ามายุ่งเรื่องนี้ พร้อมระบุว่านโยบายที่เคยหาเสียงกับประชาชน ไม่ใช่งานหลักของรัฐบาล
“นายกฯ เขาถูกวางบทบาทให้เล่นแบบนี้ ด้วยหลายเหตุผล เหตุผลหนึ่งก็เพราะว่าหลายคนก็กังวล ถ้านายกฯ มายุ่งเรื่องนี้มาก เดี๋ยวก็จะมีคนไปบอกว่าเป็นคนมีส่วนได้เสีย เพราะพี่น้อง คนในตระกูลของท่านจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นจะสังเกตนะครับว่าเวลามีเรื่องอะไรแบบนี้ เขาจะมีวิธีการในการที่จะกันไม่ให้นายกรัฐมนตรีอยู่ในที่ประชุมบ้าง อยู่ในประเทศบ้าง อยู่ในสภาบ้าง อันนี้ก็เป็นจุดหนึ่งที่เขาวางเอาไว้ อันที่ 2 ในทางการเมืองเขาก็พยายามที่จะสร้างภาพของนายกรัฐมนตรีว่าเป็นคนที่ไม่ขัดแย้งกับใคร ทำแต่สิ่งดี ๆ หรือสวย ๆ งามอะไรก็ว่าไป แล้วก็พยายามที่จะโยนความผิดว่าความขัดแย้งนี้เป็นเรื่องของคนอื่น เพราะฉะนั้นอันนี้ก็คือกลยุทธ์ที่ทางฝ่ายรัฐบาลเขาวางไว้ชัดเจน แต่ว่าสังคมก็ต้องรู้ทันนะครับ แล้วก็ต้องรู้ว่าของจริง งานจริง ๆ ที่รัฐบาลเดินนั้นคืองานตรงนี้ แต่กันนายกฯ ออกไป”
“ของจริงมันต้องการให้พ้นผิด ปูทางไปสู่การกลับมาสู่ประเทศ ดีไม่ดีก็เตรียมการในเรื่องของการที่พยายามจะเอาเงิน 46,000ล้านบาทที่ถูกยึดอะไรต่าง ๆ มันตามมาเยอะ มันก็เป็นไปอย่างที่เราเคยเตือนสังคมไว้ตลอด ว่านี่คือของจริงครับ นี่คือความตั้งใจจริง แต่ในส่วนที่เคยหาเสียงเอาไว้นั้น วันนี้ไปถึงไหนล่ะครับ กระชากค่าครองชีพลงอะไรต่าง ๆ มันก็ไม่ใช่งานหลักที่เขาทำหรอกครับ งานหลักคือตรงนี้แหละครับ เพียงแต่ว่ากันนายกฯ ออกไป ไม่ให้นายกฯ มายุ่งกับเรื่องพวกนี้”