รัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกจะมีความจริงจังในการปรับปรุงโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถึงขนาดต้องไปเชิญนายตำรวจรุ่นเก๋ามานั่งเป็นประธาน
ตอนแรก ๆ ก็ดูเหมือนว่าจะมีเสียงคัดค้านจากฝ่ายตำรวจอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ต่อมาก็เงียบเสียงไป
พอผลการพิจารณาออกมาก็ฮากันตรึม! และดูเหมือนว่าจะเป็นที่พออกพอใจของผู้คนหลาย ๆ ฝ่าย
แต่ต้องบอกว่าฝ่ายประชาชนไม่พอใจโว้ย! เพราะนั่นคือการสร้างรัฐตำรวจขนาดใหญ่เกือบจะที่สุดของโลกที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง
ปรับปรุงโครงสร้างตำรวจเพื่อใคร??
เหตุผลแห่งความไม่พอใจมีดังต่อไปนี้
ประการแรก
ไม่ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างโรงพักซึ่งเป็นหน่วยงานตำรวจพื้นฐานที่อยู่ใกล้ชิดติดกับประชาชนมากที่สุด เกี่ยวข้องกับทุกข์สุข ความปลอดภัยของประชาชนมากที่สุด
โรงพักคือหน่วยงานตำรวจพื้นฐานในการพิทักษ์สันติราษฎร์ ในการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชน ในการอำนวยความยุติธรรมขั้นต้นและในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งต้องถือว่านี่คือผลที่แท้จริงที่ประชาชนได้รับหรือสัมผัสได้ แต่ตรงนี้เหมือนเดิมทุกประการ
เพียงประการแรกประการเดียวนี้ก็จะเห็นได้ว่าการปรับปรุงโครงสร้างตำรวจครั้งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
คือประชาชนไม่มีหลักประกันในความปลอดภัยเหมือนเดิม ไม่ได้รับความยุติธรรมขั้นต้นเหมือนเดิม ไว้วางใจไม่ได้เหมือนเดิม ถูกรีดไถเหมือนเดิม และมีความไม่เป็นธรรมในการบังคับใช้กฎหมายเหมือนเดิม
การปรับปรุงโครงสร้างที่ไม่เป็นไปเพื่อประชาชนจึงเป็นโมฆะ ไม่มีความหมายใด ๆ แต่จะมีภาระหนักหนาสาหัสต่อบ้านเมืองดังที่เราจะกล่าวต่อไป
เพียงประการนี้ประการเดียวเราก็ต้องบอกกล่าวให้พี่น้องร่วมชาติได้รับรู้ว่าการปรับปรุงโครงสร้างนี้ไม่เป็นประโยชน์ใด ๆ เลย เป็นการผายลมท่ามกลางฤดูหนาวโดยแท้!
ประการที่สอง
โครงสร้างอันใหม่นี้จะทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติใหญ่โตมโหฬารพันลึก คือใหญ่กว่าหน่วยงานราชการระดับกระทรวงเสียอีกเรียกว่าปรับปรุงโครงสร้างเพื่อสร้างความเติบใหญ่ขององค์กรตำรวจครั้งใหญ่ที่สุดของตำรวจไทย
เมื่อก่อนนี้ตำรวจเป็นหน่วยงานระดับกรมในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ในอำเภอหนึ่ง ๆ ก็มีผู้กำกับตำรวจคนหนึ่งปรับปรุงไปปรับปรุงมาหน่วยงานตำรวจก็เติบโตขึ้นทุกที จนมีฐานะเท่า ๆ กับทบวงไปแล้ว หรืออาจจะใหญ่กว่าทบวงด้วยซ้ำไป
และกำลังจะมีกำลังคนเป็นลำดับสองคือมีจำนวนถึง 300,000 คน จะเป็นรองก็แต่จำนวนครูของกระทรวงศึกษาธิการเท่านั้น และกำลังจะมากกว่ากำลังทหารเต็มทีแล้ว
การปรับปรุงโครงสร้างครั้งนี้ก็คือการนำกรมตำรวจสมัยก่อนไปวางไว้ในทุกภาค รวม 9 ภาค มีอธิบดีกรมตำรวจภาคเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในระดับภาค
นึกดูเอาก็แล้วกันพี่น้องว่าหน่วยงานตำรวจจะเติบโตยิ่งใหญ่เพิ่มขึ้นอีกสักกี่เท่า เพราะจริงๆ แล้วเมื่อระดับภาคมีฐานะเทียบเท่ากรมและมีระดับอธิบดีปกครองดูแล หน่วยงานตำรวจโดยรวมก็ใหญ่กว่ากระทรวงเป็นซูเปอร์กระทรวง และเป็นหน่วยงานที่มีกำลังอำนาจมากที่สุดในบรรดาหน่วยงานราชการทั้งปวง
เมื่อโครงสร้างเป็นอย่างนี้ ใครอย่ามาเถียงว่าจะไม่มีการเพิ่มจำนวนคน มันต้องมีการเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายงบประมาณขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ปัจจุบันนี้ตำรวจได้รับงบประมาณปีละราว 60,000 ล้านบาท หลังปรับโครงสร้างครั้งนี้แล้วย่อมมีความจำเป็นอยู่เองที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น อย่างเบาะ ๆ ก็ต้อง 70,000 ล้านบาทหรือมากกว่านั้น และจะมากขึ้นไปเรื่อย ๆ
ขณะนี้งบประมาณแผ่นดินมีรายจ่ายประจำถึง 72.5% ใกล้จุดอันตรายที่จะพินาศฉิบหายกันทั้งบ้านทั้งเมืองอยู่แล้ว ผลจากการปรับปรุงโครงสร้างนี้จะเร่งความฉิบหายให้มาเร็วขึ้นกว่าที่คิดอย่างแน่นอน
ประการที่สาม
ปรับปรุงโครงสร้างให้ใหญ่ รายจ่ายประจำเพิ่มสูง แต่ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน จึงเป็นการปรับปรุงเพื่อตำรวจโดยแท้
แต่เป็นประโยชน์ของตำรวจระดับบน โดยที่ตำรวจพวกชั้นประทวนจะไม่มีทางได้รับผลบุญจากการนี้แม้แต่น้อย! พวกชั้นประทวนค้างคาดักดานอยู่อย่างไร ก็คงค้างคาดักดานกันต่อไป
ระดับพันตำรวจโทที่ติดหงึกติดหงักและไม่ได้รับเงินตอบแทนพิเศษอยู่อย่างไร ก็คงจะเกยตื้นต่อไปอย่างนั้น
ผลบาปทั้งหลายจะกลายเป็นผลบุญสำหรับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่จะได้เป็นอธิบดีกัน 9 คน จะเป็นระดับรองและระดับผู้ช่วยอธิบดีอีกกี่คนก็ยังไม่รู้ จะมีตำแหน่งผู้บัญชาการ ผู้บังคับการเพิ่มขึ้นอีกเท่าใดก็ยังไม่รู้
ทั้งหมดนี้ต้องเพิ่มทั้งที่ทำการ ทั้งรายจ่ายประจำ ทั้งเงินประจำตำแหน่ง สวัสดิการและค่าจิปาถะมโหฬาร
ใครอย่ามาเถียงว่าไม่มีการเพิ่มเป็นอันขาด ไอ้ที่จะไม่เพิ่มนั้นมันเป็นเหตุผลเฉพาะหน้าเพื่อให้เรื่องผ่านไปคราวหนึ่งก่อน พอตั้งเสร็จแล้วก็ต้องเพิ่มอยู่ดี วิธีการแบบนี้ได้ใช้กันเกร่อเกลื่อนในวงราชการจนจับได้คาหนังคาเขาแล้ว อย่ามาอ้างอีกเลย!
เมื่อโครงสร้างใหม่ทำให้หน่วยงานตำรวจใหญ่โต มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ไม่อำนวยประโยชน์กับประชาชน ก็จะเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจในตัวเองมากขึ้น
อำนาจบาตรใหญ่ที่เคยมีเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติในกรุงเทพฯ ก็จะเพิ่มอำนาจบาตรใหญ่นั้นลงในภาคต่าง ๆ ทั้ง 9 ภาค
ประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทยในทุกวันนี้ยังเจ็บช้ำน้ำใจกับการกระทำของตำรวจชั่วๆ บางคนไม่พออีกหรือ จึงต้องเพิ่มความใหญ่โตและอำนาจบาตรใหญ่ลงไปอย่างนี้
เราจึงไม่เห็นด้วยและเห็นว่าถ้าจะปรับปรุงโครงสร้างตำรวจกันจริง ๆ ก็ต้องทำสองอย่าง
อย่างแรก
ต้องปรับปรุงโครงสร้างของโรงพักให้เป็นหลักประกันในการดูแลความปลอดภัยของประชาชน และในการบังคับใช้กฎหมายโดยยุติธรรม ให้ประชาชนอุ่นใจ วางใจได้ นี่คือผลประโยชน์ของประชาชนโดยตรง
อย่างที่สอง
ต้องทำให้องค์กรของตำรวจเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และเกี่ยวกับงานในหน้าที่โดยตรงของตำรวจ
ต้องโยกงานจราจรไปให้ท้องถิ่น
โยกงานรถไฟ ป่าไม้ ไปให้หน่วยงานโดยตรง โยกงานทะเบียนทั้งหลายไปท้องถิ่น โอนงานตรวจคนเข้าเมืองไปให้กระทรวงการต่างประเทศ หรือกระทรวงมหาดไทย
ต้องโอนงานเกี่ยวกับการดูแลรักษาความปลอดภัยไปสังกัดท้องถิ่นให้หมด
ให้คงเหลืองานไว้เพียงสามอย่างเท่านั้น คือ กรมสอบสวนกลาง กรมสืบสวนกลาง ตำรวจสันติบาล และงานนิติวิทยาศาสตร์
เมื่อเป็นอย่างนี้ตำรวจก็จะได้ทำงานตำรวจอย่างเต็มที่ ไม่ต้องวอกแวกวอแวราวกับว่าเป็นนารายณ์สิบกร แต่ทำอะไรไม่ได้ผลสักอย่างเดียวดั่งที่เป็นอยู่นี้
การปรับปรุงโครงสร้างตำรวจหากไม่เป็นไปในสองประการนี้แล้ว ล้วนเป็นการปรับปรุงที่เสียเวลา เสียเงิน และไร้ค่า ซึ่งหากจะทำอย่างนั้นก็นั่งเฉย ๆ เสียดีกว่า.
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์