น่าเป็นห่วงจริงๆ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ในเวลานี้
โดนวิกฤต "เจรจาลับ" ที่การปิโตรเลียมของกัมพูชาเปิดโปงดอกแรกจนออกอาการเป๋
ก่อนโดนนายกฯ ฮุนเซนออกมาขย่มซ้ำดอกสอง
ระบุว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ เคยเดินทางไปพบที่กัมพูชา ขอเจรจาเรื่องพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล และยังเคยบินไปเจรจาลับกับรองนายกฯ กัมพูชาอีก 2 ครั้งทั้งที่ฮ่องกงและคุนหมิงอีกด้วย
โดนฮุนเซนกระทุ้งเข้าไป 2 ดอกนี้ถือว่าสาหัสทีเดียว
ถึงแม้พรรคประชาธิปัตย์จะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีการเจรจาลับ ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปอย่างโปร่งใส
แต่ก็ตอบสังคมไม่กระจ่าง
เพราะถ้าไม่ใช่การเจรจาลับแล้วทำไมถึงไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งฮุนเซนออกมาเปิดโปง!?
พอตอบไม่ได้ ชี้แจงไม่ออก พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกอาการฟูมฟาย
นายกฯ ฮุนเซนไม่รักบ้าง เลือกข้างทักษิณแล้วบ้าง ใส่ร้ายป้ายสีพรรคประชาธิปัตย์บ้าง
เรื่องไม่รักมันก็แน่อยู่แล้ว
ก็ดันไปตั้ง รมว.ต่างประเทศที่เคยด่าเขาเป็นกุ๊ย ท้าตีท้าต่อยกันมาตลอด
แถมยังวางแผนส่งส.ส.คนสนิทเดินข้ามชายแดนไปให้ทหารเขมรจับเสียอีก
เรื่องเลือกข้างทักษิณนั้น ฮุนเซนก็ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นตอนตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจแล้ว
เช่นเดียวกับข้อหาใส่ร้ายประชาธิปัตย์
ต้องถามกลับไปว่าแล้วนายสุเทพบินไปเจรจาจริงหรือเปล่า!?
ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ยิ่งตอบโต้เรื่องเจรจาลับก็จะยิ่งเข้าตัว
ขว้างงูไม่พ้นคอหรอก!?
อีกเรื่องที่น่าเป็นห่วงก็คือบทบาทของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน
เพราะรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่าผู้นำฝ่ายค้านมีหน้าที่สำคัญคือการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
แต่บทบาทของนายอภิสิทธิ์กลับใช้เวลาส่วนใหญ่เดินสายตรวจน้ำท่วม
ความจริงแล้วเรื่องไปเยี่ยมชาวบ้านผู้ประสบภัยเป็นเรื่องดี น่าชมเชยยิ่ง
แต่ไม่เหมาะแน่หากทำไปโดยมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือทำเพื่อหาเสียง
เพราะมีข่าวลือกันหนาหูว่าอีก 6 เดือนข้างหน้าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลง
จะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเป็นช่องทางให้ใช้ "วิธีพิเศษ" กลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง
รับรองได้เลยว่าบ้านเมืองจะย้อนกลับเข้าสู่วิกฤตความขัดแย้งอีกแน่ๆ