ศาลจำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล 6 เดือนฐานหมิ่น ดามาพงศ์

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 ส.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก

ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน, น.ส. สโรชา พรอุดมศักดิ์ ผู้ดำเนินรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร, นายขุนทอง ลอเสรีวานิช เจ้าของและผู้จัดทำเว็บไซต์ manager.co.th และนาย ปัญจภัทร์ อังคสุวรรณ ผู้ควบคุมดูแลเว็บไซต์ manager.co.th จำเลยที่ 1, 2, 5 และ 10 ตามลำดับในความผิดฐาน ความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เป็นเวลาคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 50,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลาคนละ 3 ปี และให้ปรับบริษัทแมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เจ้าของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และบริษัทไทยเดย์ ด็อทคอม จำกัด ผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร จำเลยที่ 3 และ 6 ซึ่งเป็นนิติบุคคล คนละ 50,000 บาท และให้ร่วมกันลงตีพิมพ์คำพิพากษาลงในนสพ.ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ www.manager.co.th เป็นเวลา 7 วันต่อเนื่องกัน

 คดีนี้พล.ร.ท.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ ญาติคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยา พ.ต.ท. ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี

เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิกับพวก เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น และหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา กรณีร่วมกันจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ถ่ายทอดออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ ASTV ช่อง นิวส์ 1 และเผยแพร่ตีพิมพ์ทางนสพ.ผู้จัดการรายวัน และเว็บไซต์ www.manager.co.th โดยกล่าววิจารณ์การขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ด้วยถ้อยคำลักษณะใส่ร้ายตระกูลดามาพงศ์และบุคคลในตระกูลดามาพงศ์ของโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2549

 โดยเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2550 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความพยานโจทก์ยังคลาดเคลื่อนในทางนำสืบ จึงมีน้ำหนักไม่มั่นคงให้รับฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ จึงพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้ง 10 ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์

 ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า เมื่อพิจารณาจากข้อความตามฟ้องโจทก์ เช่น “ชินวัตร...ดามาพงศ์ โกงทั้งโคตร ขายชาติเลี่ยงภาษี ”
 
แม้ไม่มีชื่อโจทก์ แต่การที่ลงชื่อตระกูล ทำให้ผู้อ่านย่อมเข้าใจไปได้ว่าหมายถึงทั้งตระกูลโจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย อีกทั้งข้อความดังกล่าวยังเป็นความหมายในทางลบ ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกว่าการกระทำของตระกูลโจทก์กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่จะดำเนินการไม่ใช่หน้าที่จำเลยมาตัดสิน ข้อความตามฟ้องของจำเลยที่ 1 จึงไม่ใช่การเสนอข้อเท็จจริงโดยสุจริต ส่วนจำเลยที่ 2, 3 ,5 ,6 และ 10 มีความผิดฐานเป็นตัวการร่วม ขณะที่จำเลยที่ 4 เป็นเพียงผู้บริหารแผนฯของจำเลยที่ 3 ย่อมไม่มีส่วนกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 8 และ9 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 5 โจทก์ไม่มีได้นำสืบให้เห็นว่ามีส่วนร่วมกระทำผิดอย่างไร

 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยพิพากษาแก้ดังกล่าว


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์