ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย
ได้นำจดหมายเปิดผนึก “จากใจนายจตุพร ถึงนายอภิสิทธิ์ ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี” มีความยาว 5 หน้า ลงวันที่ 23 มิ.ย. มาเผยแพร่ต่อผู้สื่อข่าว โดยระบุว่าเป็นจดหมายที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ ได้ส่งมายังพรรคเพื่อขอให้ช่วยเผยแพร่ให้ ตนจึงมามาแจ้งต่อสื่อเพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับพรรค ทั้งนี้เนื้อหาในจดหมายมีเนื้อหาตอนหนึ่งระบุว่า ตนได้มีโอกาสรับทราบบันทึกของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเรื่อง “จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ” รวม 5 ตอนที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊ค รวมทั้งคำให้สัมภาษณ์และการปราศรัยหาเสียงของนายอภิสิทธิ์ ที่กล่าวหาถึงเรื่องการสลายการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ทั้งที่บริเวณสี่แยกคอกวัว และสี่แยกราชประสงค์ จนมีผู้เสียชีวิต 91 ศพ และบาดเจ็บ 2 พันกว่าคน และในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ยังจะไปปราศรัยที่ราชประสงค์อีก พฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ในช่วงระยะเวลานี้ คงลืมฐานะนายกรัฐมนตรี แต่คงคิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรพรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะถ้านายอภิสิทธิ์ไม่ลืมฐานะนายกรัฐมนตรี คงไม่พูดในลักษณะยัดเยียดข้อหาเผาบ้านเผาเมืองหรือข้อหาก่อการร้ายให้กับใครหรือพรรคการเมืองใด เพราะในฐานะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ไม่ควรชี้นำกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาล
“นายอภิสิทธิ์ไม่ควรเผยแพร่เฟซบุ๊คกล่าวหาใคร และการที่ไปยืนพูดปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ในวันที่ 23 มิ.ย. นายอภิสิทธิ์คงมิใช่คนที่เป็นนายกฯของประเทศไทย เพราะหากสำนึกว่าตนเป็นนายกฯของประเทศแล้ว ก็จะต้องสำนึกในคำพูดของตนที่เคยกล่าวหาอดีตนายกฯท่านหนึ่งเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 51 โดยเฉพาะคำพูดที่ว่าบัดนี้เขาสูญเสียไปแล้ว นายกฯยังไปยัดเยียดข้อหาใส่เขาอีก จึงอยากถามว่าการที่นายอภิสิทธิ์ไปยืนปราศรัยยัดเยียดข้อหาให้กับผู้สูญเสีย แล้วถ้านายอภิสิทธิ์โชคดีได้เป็นนายกฯอีกครั้งถามว่านายอภิสิทธิ์จะนำพาความสมานฉันท์ ความปรองดองให้เกิดกับสังคมตามที่เคยพูดไว้อย่างไร” นายจตุพร ระบุในจดหมาย
ทั้งนี้ในจดหมายยังระบุอีกว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจเลือกปราศรัยที่สี่แยกราชประสงค์ ตนก็มีคำถามไปยังนายอภิสิทธิ์ 2 ข้อ
คือ 1. ใครฆาตกรรมประชาชน และ 2.กรณีวางเพลิง ทำไมถึงกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมวางเพลิง ทั้งที่ยังไม่มีการพิพากษาคดี จึงถือเป็นการสรุปเอาเองทั้งนั้น และถือเป็นการก้าวล่วง ละเมิด และชี้นำกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ เรื่องเหล่านี้ตนพร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้จะต้องถูกจองจำ และมีความยากลำบาก แต่ก็หวังว่าในที่สุดความจริงและความยุติธรรมในสังคมที่หวังจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ซึ่งตนจะรอวันนั้นด้วยความอดทน แต่ระหว่างที่รอพวกคุณควรจะได้ตอบคำถามแก่สังคมตามที่ตนถามไปด้วย