“สดศรี” เผยเตรียมจี้นายกฯ ป้อง กกต. ออกกฎหมายลูกเลือกตั้ง ไม่เกี่ยง พ.ร.ป.-พ.ร.ก. หวั่นถูกตามฟ้องภายหลัง
วันนี้ (11มี.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง กล่าวก่อนกกต.หารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีถึงการกำหนดวันเลือกตั้งที่เหมาะสมว่า กกต.คงต้องยืนยันว่าการจะจัดการเลือกตั้งได้นั้นต้องมีกฎหมายลูกพร้อมทั้ง 3 ฉบับเพื่อประกอบการปฏิบัติงานของกกต. ซึ่งในมาตรา 141 ของรัฐธรรมนูญ ก็บัญญัติชัดเจนว่าก่อนประกาศใช้กฎหมายต้องผ่านการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญก่อน แต่ในมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมไม่ได้มีการบัญญัติไว้ ก็ไม่ทราบว่าเพราะผู้ร่างหลงลืมหรือไม่ อย่างไรก็ตามการที่ไม่สามารถแก้ไขกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับให้แล้วเสร็จก่อนก็จะทำให้การเลือกตั้งเรียบร้อยไปไม่ได้
นางสดศรี กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังเห็นว่าถ้ารัฐบาลจะให้กกต.ออกเป็นประกาศข้อกำหนดว่าด้วยหลักเกณฑ์ในการเลือกตั้ง โดยยังไม่เริ่มกระบวนการของการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.ก่อน ก็จะเหมือนกับ ข. มาก่อน ก. ซึ่งอาจเป็นจุดที่ทำให้มีการโต้แย้งในภายหลังได้ อีกทั้งถ้าจะออกประกาศตามมาตรา 7 วรรคท้ายของรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข ก็ออกได้เพียงฉบับเดียว ตรงนี้ก็จะกลายเป็นปัญหา เพราะเรื่องการส่งผู้สมัครเลือกตั้ง เพราะพ.ร.ป.พรรคการเมืองกำหนดให้สาขาพรรคมีส่วนในการคัดสรรผู้สมัครลงรับเลือกตั้งร่วมกับกรรมการบริหารพรรค ถ้าไม่แก้ไขก็จะเป็นจุดที่ทำให้ฟ้องร้องได้ รวมถึงในรัฐธรรมนูญปัจจุบันก็ไม่มีการบัญญัติไว้ว่า หากมีการออกประกาศต่างๆ ก็ต้องเสนอไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายเหมือนที่มีบัญญัติไว้ในมาตรา 312 ของรัฐธรรมนูญ 40
“ที่รัฐธรรมนูญ40 ระบุให้ประกาศต้องผ่านการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะทำให้ยุติปัญหาใดได้หมด เพราะเท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญรองรับการทำงานทุกอย่างเลย แต่ในรัฐธรรมนูญ 50 ไม่มีระบุไว้ ดังนั้นถ้ากกต.ไปออกประกาศ แล้วมีการฟ้องร้องต่อมาว่าประกาศฯที่กกต.ออกนั้น ไม่ชอบ กกต.จะไม่มีอะไรพิงเลย รวมทั้งถ้าตอนนั้นมีการเลือกตั้งแล้ว แน่นอนว่าส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้ง ก็อาจจะไม่ได้รับการประกาศรับรองผล ตรงนี้จะเป็นปัญหาอย่างมาก กับการจัดตั้งรัฐบาล เพราะพรรคที่ได้ส.ส.มาในจำนวนใกล้เคียงกันก็จะเอามาเป็นประเด็นในการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าประกาศที่กกต.ออกนั้นชอบหรือไม่ ดิฉันไม่ใช่คนมองอะไรในแง่ร้าย แต่อย่าคิดว่าอะไรไม่เกิด อย่าคิดว่ากกต.จะไม่ถูกฟ้อง เพราะในเมื่อเราไม่ใช่ศาลที่คำสั่งของเราเป็นที่สุด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ระดับชาติ ต้องเห็นใจกกต.ด้วย เราก็ไม่อยากให้การเลือกตั้งถูกร้องเป็นโมฆะ หรือถ้าไม่เช่นนั้นให้เราประกาศฯแล้วก็ให้ระบุไว้ในวรรคท้ายได้หรือไม่ว่าประกาศของกกต.ถือเป็นที่สุด ซึ่งเราก็ไม่อยากทำเช่นนั้น
นางสดศรี ยังกล่าวด้วยว่า จากการหารือกับผู้แทนพรรคการเมืองของกกต.ล่าสุด พรรคการเมืองต่างก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้กกต.ออกประกาศฯ เพื่อมาจัดการเลือกตั้ง โดยบอกว่าควรออกเป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และมองว่าถ้าทุกพรรคจริงใจในการแก้ไข ก็จะใช้เวลาเพียง 1 เดือนในการพิจารณา 3 วาระรวดได้ ซึ่งตนก็เห็นว่า การจะยุบสภาไม่ควรเป็นเรื่องของกกต.กับนายกฯเท่านั้น ควรให้ทุกพรรคเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดวันยุบสภาและวันเลือกตั้ง จึงคิดว่าน่าจะมีการเรียกประชุมพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อมาร่วมกันกำหนดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งด้วย
เมื่อถามว่า หากรอให้กฎหมายลูกเสร็จ อาจทำให้เกิดเงื่อนไขและกลายเป็นจุดให้เกิดรัฐประหารก่อน นางสดศรี กล่าวว่า การออกกฎหมายนอกจากผ่านทางรัฐสภาได้แล้ว ยังผ่านทางคณะรัฐมนตรีได้ ซึ่งก็ได้ข่าวจากวงนอกว่า กรณีกฎหมายลูก ครม.สามารถออกเป็นพระราชกำหนดได้ หากทำได้จริงกกต.ก็ยินดี แต่การจะมองว่าออกกฎหมายลูกช้าแล้วทำให้เกิดเหตุร้าย คิดว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงต้องดูแล