"มาร์ค" เจอเสื้อแดงโหไล่ แถมด้วยอดีตคนงาน "ไทรอัมพ์" ชูป้ายด่ากลางงานวันสตรีสากล
วันนี้ (6 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมายังโรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ เขตบางเขน เพื่อเปิดการสัมมนาเครือข่สยชุมชนเข้มแข็งเพื่อพัฒนาเขตบางเขน ซึ่งจัดโดยนายวิทเยนทร์ มุตตามาระ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เขตบางเขน ของพรรคประชาธิปัตย์
โดยก่อนคณะของนายกรัฐมนตรีจะมาถึงสถานที่จัดงาน ได้มีสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 30 คน ที่มาพร้อมกับตีนตบและป้ายกระดาษที่มีข้อความว่า "อภิสิทธิ์สวาปาล์ม" มาดักรอชุมนุมขับไล่นายอภิสิทธิ์ ที่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนดังกล่าว แต่ได้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่กันออกโดยให้อยู่บริเวณลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาหลักสี่ กระทั่งเมื่อขบวนรถของนายกรัฐมนตรีเข้ามาภายใน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ปิดประตูโรงเรียนทันที
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดทำนโยบายวาระประชาชนที่มาจากการรวบรวมข้อมูลและควมคิดเห็นในเวทีสมัชชาประชาชน ซึ่งเมื่อเราได้มาเป็นรัฐบาล ก็ได้นำนโยบายดังกล่าวมาดำเนินการให้เป็นจริง แต่ก็ยังมีหลายปัญหาที่เราต้องเผชิญอยู่ เช่น ปัญหาสินค้าราคาแพง เราจึงต้องมีนโยบายออกมาแกปัญหาให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดก็ไม่สามารถควบคุมราคาสินค้าได้ทุกตัว แต่เราจะต้องเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เช่น การขึ้นเงินเดือนข้าราชการในเดือน เม.ย.นี้ การเตรียมปรับค่าแรงขั้นต่ำ การเพิ่มเงินประกันรายได้ของเกษตรกร เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังนายกรัฐมนตรีกล่าวปราศรัยและพบปะกับประชาชนในงานนี้เสร็จได้เดินทางออกโรงเรียนดังกล่าว โดยเปลี่ยนเส้นทางออกจากเดิมที่จะใช้ประตูทางออก มาเป็นประตูทางเข้า เพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมตะโกนโห่ไล่นายอภิสิทธิ์ อยู่ที่หน้าประตูทางออก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากควบคุมสถานการณ์
จากนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้เดินทางต่อมายังห้องประชุม ชั้น 3 อาคารอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เพื่อร่วมประกาศเจตนารมณ์ "ผู้หญิงทำงาน สู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของทุกคน" ในวาระการเฉลิมฉอง 100 ปี วันสตรีสากล 8 มีนาคม ซึ่งจัดโดย 33 เครือข่ายองค์กรแรงงาน องค์กรทำงานประเด็นผู้หญิง และองค์กรสิทธิมนุษยชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายกรัฐมนตรี มาถึงงานดังกล่าว ผู้ร่วมงานได้ร่วมกันร้องเพลง "หญิงกล้า" ซึ่งทันทีที่เพลงจบ ปรากฏว่าได้มีหญิงสาวคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลหยิกยาว สวมเสื้อสีขาว อายุประมาณ 30 ปี ตะโกนว่า "มือเปื้อนเลือด" สร้างความตกตะลึงต่อคนที่มาร่วมงาน
ต่อมาได้เข้าสู่พิธีการประกาศเจตนารมณ์ “ผู้หญิงทำงาน สู้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ยั่งยืนของทุกคน” ในวาระการเฉลิมฉอง 100 ปี วันสตรีสากล ซึ่งมีข้อเสนอต่อสังคมและรัฐบาล คือ 1.ผู้หญิงทำงานทุกคนต้องทำงานไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง ให้แรงงานหญิงเกษียณอายุการทำงาน เมื่อมีอายุ 60 ปี ยอมรับหญิงบริการ แรงงานนอกระบบ แรงงานภาคเกษตรและประมงเข้าสู่ระบบประกันสังคม โดยที่รัฐบาลต้องส่งเงินช่วยสบทบในอัตราไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง และให้รัฐบาลมีระบบบำนาญประชาชนและตั้งกองทุนเพื่อสวัสดิการสุขภาพและสังคมแก่ผู้ประกอบอาชีพบริการ
อีกทั้งต้องมีมาตรการเด็ดขาดในการห้ามเลิกจ้างหญิงตั้งครรภ์ 2.ส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ที่เป็นเรื่องเฉพาะสำหรับผู้หญิงอย่างมีคุณภาพ 3.มีการคุ้มครองดูแลผู้หญิงจากทัศนคติเหมารวมและเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง และ 4.ผู้หญิงต้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการวางแผนทุกระดับ และมีสัดส่วนของนักการเมืองหญิงมากขึ้น
ทั้งนี้ระหว่างที่นายกรัฐมนตรีรับแผ่นประกาศเจตนารมณ์ฯ ปรากฏหญิงสาวคนเดิมได้ถ่ายภาพนายกรัฐมนตรีด้วย จากนั้นได้เขียนข้อความในแผ่นกระดาษ 3 แผ่นทั้งด้านหน้าและด้านหลังเหมือนกัน โดยแผ่นแรกเป็นรูปฝ่ามือ และมีข้อความประกอบว่า "ใครเปื้อนเลือด?" ส่วนแผ่นที่ 2 และ 3 เขียนเหมือนกันว่า "ดีแต่พูด" ซึ่งเมื่อนายอภิสิทธิ์ เห็นข้อความเหล่านี้ จึงกล่าวว่า "ผมขอความร่วมมือ วันนี้เป็นวันสตรีสากล ใครที่ต้องการแสดงออกทางการเมือง ผมขอให้ไปพูดกันข้างนอก และขอให้รอฟังในสภาฯ จะได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด"
หญิงคนดังกล่าวจึงเขียนแผ่นกระดาษอีกใบว่า "เหรอ" แล้วชูขึ้นในห้องประชุมอีกจนจบงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าไปดึงแผ่นกระดาษจากมือผู้หญิงคนดังกล่าว แต่เกิดการยื้อยุดกัน ขณะที่นางสุนี ไชยรส ที่ปรึกษากลุ่มบูรณาการแรงงานสตรี พยายามขอร้องให้ผู้หญิงคนนี้หยุดถือป้าย เพราะวันนี้ถือเป็นวันของสตรี จึงไม่ควรทำเช่นนี้ แต่หญิงคนดังกล่าวยังไม่หยุดชูป้าย และส่งต่อไปเพื่อนผู้หญิงที่มาด้วยกันอีก 2 คน ชูป้ายที่เขียนว่า "ดีแต่พูด" ขึ้นในงานตลอดการปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ โดยนายอภิสิทธิ์ มีสีหน้าไม่สู้ดีนักก่อนขึ้นพูด อย่าไรก็ตามทราบว่ากลุ่มคนดังกล่าวเป็นอดีตพนักงานบริษัทไทรอัมพ์ ที่เคยออกมาประท้วงเพราะถูกเลิกอย่างไม่เป็นธรรม
นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนได้ติดตามปัญหาของผู้หญิงที่มีอยู่หลายมิติ และรัฐบาลให้ความสนใจแก้ปัญหาของสตรีมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เรื่องของข้อจำกัดของสตรีไม่ได้มีแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมีในหลายประเทศ และมีการติดขัดที่โอกาสในการทำงานของสตรีจะถูกจำกัดเมื่อมีครอบครัวแล้ว เราจึงพยายามแก้ปัญหา เช่น การออก พ.ร.บ.คุ้มครองอนามัยการเจริญพันธุ์ การทำแผนปฏิรูปประเทศในเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำในสังคม นโยบายในการดูแลแม่และเด็กในระดับต่าง ๆ การส่งเสริมให้ผู้ชายสามารถลาไปดูแลบุตรได้ การส่งเสริมโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กที่อยู่นอกระบบ เป็นต้น สำหรับคำประกาศเจตนารมณ์กับสิ่งที่รัฐบาลทำมีความสอดคล้องกัน เรายังมีสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม และทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นายกรัฐมนตรีกำลังเดินออกจากห้องประชุม และทักทายผู้ที่มาร่วมงาน ปรากฏว่าได้มีผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อสีดำ ตะโกนไล่หลังนายกรัฐมนตรีด้วยถ้อยคำที่ไม่ชัดเจน ต่อมาหญิงที่ชูป้ายคนแรกพยายามเดินเข้ามาหานายกฯ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสกัดกั้นไว้ จึงได้ตะโกนว่า "จักร 150 ตัวจากไพฑูรย์ (แก้วทอง อดีต รมว.แรงงาน) ไปอยู่ที่ไหน"
ขณะเดียวกันได้มีคนที่อยู่ในงานสะบัดตีนตบด้วย แต่นายกฯ เดินออกไปโดยไม่สนใจเสียงตะโกนดังกล่าว และได้มารับหนังสือร้องเรียนจากประชาชนที่มารออยู่หน้าห้องประชุม ก่อนจะเดินทางออกจากสถานที่จัดงาน
จากนั้นผู้สื่อข่าวถามนายกรัฐมนตรีว่ารู้สึกเสียขวัญ เพราะถูกคนตะโกนขับไล่อย่างนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี ยิ้มแล้วกล่าวว่า "ไม่เป็นไรครับ"
เมื่อถามต่อว่า แสดงว่ามั่นใจว่าจะสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงได้ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจว่าชี้แจงได้แน่นอน ซึ่งการที่ตนบอกว่าให้รอฟังการอภิปรายในสภาฯ นั้น เพราะเขาจะได้รู้ว่าใครต้องการให้คนตาย โดยตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้เตรียมนำข้อเท็จจริงมา และคิดว่าประชาชนที่ติดตามข้อมูลข่าวสารในปี 2553 มีความเข้าใจ แต่ก็มีคนพยายามที่จะเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ โดยการอ้างให้เกิดความไขว้เขว ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันในสภาฯ ส่วนที่การชูป้ายต่าง ๆ นั้นไม่มีปัญหา แต่อย่าพยายามสกัดกั้นขัดขวางไม่ให้ตนมีโอกาสชี้แจงในเรื่องที่รัฐบาลได้ทำ เพราะจากสิ่งที่ตนพูดก็พบว่ามีสิ่งที่ได้ทำมากมาย จึงมีคนพยายามสกัดกั้นไม่อยากให้ทำ ซึ่งการที่ปีนี้จะมีเลือกตั้งจึงเป็นอย่างนี้
เมื่อถามว่า ยังมีกลุ่มคนออกตามขับไล่เช่นนี้ ยังจะมีการเลือกตั้งในปีนี้อยู่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องการแสดงออก ถ้าไม่นำไปสู่ความรุนแรง ก็ไม่เป็นปัญหา ตนคิดว่าประชาชนจะได้ตัดสินใจเองว่าจะเลือกฝ่ายตนมีแต่ตั้งใจทำงานและเดินหน้าในการแก้ไขปัญหา หรือเลือกฝ่ายอื่นที่ต้องการให้ประเทศติดหล่มอยู่ในภาวะของความขัดแย้ง
เมื่อถามว่า คิดว่านี่เป็นความพยายามของคนบางกลุ่มที่ต้องการสร้างความวุ่นวายจนไม่สามารถจัดการเลือกตั้งหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อาจจะมีบางส่วนที่ไม่อยากให้เลือกตั้ง แต่ตนคิดว่าประเทศต้องเดินหน้าในการที่จะผ่านไปสู่การเลือกตั้งและนำไปสู่การตัดสินใจของประชาชนว่าจะเดินหน้าประเทศนี้อย่างไร
ต่อข้อถามว่าคิดว่าความเคลื่อนไหวในลักษณะขัดขวางการลงพื้นที่แบบนี้ พอใกล้เลือกตั้งจะดุเดือดขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ก็เป็นไปได้ แต่ประชาชนต้องคิดว่าถ้าคนที่มีจิตใจเป็นประชาธิปไตยจะต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนไปพบปะพูดคุยกับประชาชนได้ แต่ถ้ามีฝ่ายใดขัดขวาง ก็แสดงว่าเป็นฝ่ายที่กลัวความจริง กลัวฝ่ายอื่นมีโอกาสนำข้อมูลข่าวสารไปให้ประชาชน
เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะทำให้มีการเลือกตั้งช้าออกไปหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ โดยในสัปดาห์หน้า ตนจะหาเวลาไปพบกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อสอบถามความพร้อมเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว โดยอาจใช้การออกระเบียบแทนที่จะทำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญและดูว่าความพร้อมในการแบ่งเขตและการจัดการเลือกตั้งจะใช้เวลาเท่าไหร่
เมื่อถามอีกว่าการเลือกตั้งจะมีในช่วงครึ่งปีแรกใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า น่าจะเป็นอย่างนั้น เมื่อถามต่อว่า พรรคชาติไทยพัฒนา เสนอให้ยุบสภาในเดือน ต.ค.นี้ นายกฯ กล่าวว่า "ช้าไปครับ".