เมื่อเวลา 09.00น. วันที่ 8 กุมภาพันธ์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้กล่าวปาฐกถานำ ก่อนเริ่มงานสัมมนาวิชาการอุษาคเนย์ ครั้งที่ 8 ประจำปี 2554
ดร. ชาญวิทย์กล่าวว่า กรณีสยามกับกัมพูชาเป็นเรื่องสงครามหรือสันติภาพ แต่ตอนนี้มันเป็นปัญหาที่กำลังเผชิญหน้ากับผู้คนซึ่งน่าจะอยู่รวมกันด้วยสันติแต่กลับมีสภาพเป็นสงคราม มีความพยายามที่จะใช้ความรุนแรง บ้าคลั่ง ไร้สตินำพาประเทศเราไปสู่ความไม่รุ่งเรือง
การแก้ปัญหาในระยะสั้น คือ หนึ่งการปรึกษาหารือและเจรจาตามแนวทางบันทึกความเข้าใจระหว่างไทยกับกัมพูชา ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ สมัยนายชวน หลีกภัย สองคือ นำปัญหาข้อพิพาททั้งหมดกลับไปขึ้นศาลโลก หรือศาลอนุญาโตตุลาการ ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาต้องการเช่นนั้น หรือ แบบสุดท้ายส่งกองกำลังทั้งบก เรือ อากาศ เข้ายึดพื้นที่ที่เสียดินแดน ในเสียมราฐ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายตามการทวงและขยายดินแดน ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองของจอมพลป. พิบูลยสงคราม
แต่คาดว่าประชาชนไทยจะมีสติพอที่จะเลือกข้อหนึ่ง ส่วนข้อที่สามนั้น ขัดต่อศีลธรรมทางศาสนา ขัดต่อจริยธรรมต่อสากลโลก ถ้าให้ลงประชามติไม่น่าลงอันนี้
สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาวคิดว่า ถ้าเราดูในดินแดนซึ่งอยู่ระหว่างไทย กัมพูชา ลาว จนถึงเวียดนาม ที่ทั้งมีมรดกทางวัฒนธรรมมารวมตัวบรรจบกันอยู่ในดินแดนนี้แล้วลองคิดว่าสมควรเป็นดินแดนแห่งสันติภาพหรือไม่ เพราะฉะนั้นข้อเสนอ ณ ที่นี้คือการดำเนินในกรอบ สามประเทศหรือของอาเซียน ที่จะทำให้กลายเป็นมรดกโลกข้ามพรหมแดน จากเขาใหญ่พนมรุ้ง พนมดงรัก น่าเป็นมรดกเพื่อสันติภาพไม่ใช่เพื่อสงครามของผู้กระหายเพียงไม่กี่คน
บริเวณที่เป็นมรดกร่วมท้องถิ่นควรมีส่วนร่วม อาร์เจนติน่าเสนอน้ำตกอีกวาซูเป็นมรดกร่วม แต่ก็ขัดแย้งกับบราซิล แต่ยังจบปัญหาลงได้ เชื่อว่าวิธีการแก้ปัญหาแบบที่บราซิลและอาร์เจนทำได้ การแก้ปัญหานี้ก็อาจแก้ปัญหาที่เกิดกับแม่น้ำโขง เขาใหญ่ และพนมดงรัก โดยเฉพาะการทำลายนิเวศทรัพยากร
"ขอให้สร้างรัก สร้างมิตร อย่าสร้างศัตรู อย่างสร้างสงคราม เพื่อประชาอาเซียน"