คมชัดลึก : ช่วงนี้คงไม่ต้องแปลกใจอะไรที่มองไปทางไหนก็จะมีแต่ “ทหาร-ตำรวจ” ออกมาปฏิบัติการอยู่ตามท้องถนน โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ กทม. สาเหตุหลักก็เพื่อต้องการดูแลรักษาความปลอดภัยในช่วงที่ “กลุ่มคนเสื้อแดง” ทำกิจกรรมเพื่อรำลึกเหตุการณ์ “ปฏิวัติ-รัฐประหาร” ที่จะครบ 4 ปีเต็มในวันที่ 19 กันยายนนี้ รวมถึงครบรอบ 4 เดือน กับเหตุการณ์ “เผาบ้าน-เผาเมือง” เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมาด้วย แม้ว่าทางศอฉ.เฝ้าติดตามดู แต่ละกิจกรรมที่ “กลุ่มคนเสื้อแดง” จัดขึ้นมาเพื่อรำลึก ว่ามีเสี่ยงเกิดเหตุรุนแรงจาก “กลุ่มใต้ดิน” หรือ “กลุ่มมือที่ 3” หรือไม่
เพราะยิ่งกระแสข่าวลือว่า “ชายชุดดำ” ออกมาป้วนเปี้ยนบ้านผู้นำรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยแล้ว ยิ่งทำหน่วยงานด้านความมั่นคงเครียดกับสถานการณ์บ้านเมืองที่พร้อมจะ “พลิกผัน” ได้ตลอดเวลา และยิ่งงง เมื่อได้ฟังข่าวกรอง แจ้งว่า "ชายชุดดำ-อาวุธสนับสนุน" มาก่อเหตุในไทยมาจากเพื่อนบ้าน ดังไปถึงที่ เพนตากอน ว่า ไม่ใช่แค่เอาปากมาแกว่ง แต่ยัง "ส่งของ" เข้ามาด้วย เท่านั้นแหละ มะกันเขาเลยตัดความช่วยเหลือในทันที...ฟังแค่นี้หลายคนคงบอกว่า อืม...สม
แม้ว่าที่ผ่านมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้รับผิดชอบงานด้านความมั่นคงสูงสุดของประเทศ จะมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ “การข่าว” มาครั้งหนึ่งแล้ว
โดยให้ นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) และ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เป็นหัวเรือใหญ่ในการบูรณาการด้านการข่าวแล้วก็ตาม แต่ข่าวที่ได้ก็ยังไม่ “คอนเฟิร์ม” 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะขณะนี้ฝ่ายตรงข้าม “รัฐบาล-ศอฉ.” ต้องการกระพือข่าว ปล่อยข่าว หรือข่าวโคมลอยอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความสับสน ล่าสุดมีการปล่อยข่าวออกมาเพื่อหวัง “ดิสเครดิต” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก คล้ายเป็นการตบหน้าก่อนที่จะเกษียณอายุราชการในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ว่ามือดี “ฉก” อาวุธสงครามไปเพียบ ภายในคลังแสงของค่ายสมเด็จพระนารายณ์ จ.ลพบุรี
กระแสข่าวที่ระบุว่า อาวุธสงครามที่ถูกมือดี “ฉก” ไปในครั้งนี้ ประกอบด้วย จรวจอาร์พีจี ลูกระเบิดเอ็ม 79 ลูกระเบิดขว้าง แบบเอ็ม 67
ซึ่งอาวุธสงครามที่ว่ามานี้ล้วนแต่เป็นอาวุธยอดฮิตที่คนร้ายนำมาปฏิบัติการก่อเหตุวุ่นวายในพื้นที่กทม. และพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และที่สำคัญคือ ปืนอาก้า ปืนเอ็ม-16 และ ปืนทราโว่ ที่กลุ่มชายชุดดำมาปฏิบัติการก่อเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ก็หายไปด้วย
ทบ.เช็กคลังแสงหวั่นนำก่อเหตุ19กันยา
แต่จากการตรวจสอบไปยัง “คลังแสง” ที่เก็บอาวุธสงครามดังกล่าวที่ถูกระบุว่าหายไปหลายรายการนั้น กลับถูกปฏิเสธว่า “อาวุธสงคราม” ดังกล่าวไม่ได้ถูกมือดีฉกไปแม้แต่รายการเดียว
ทำให้ ณ เวลานั้น พล.อ.อนุพงษ์ ได้สั่งการให้หน่วยทหารทุกหน่วยที่มี “คลังแสง” ตรวจเข้มและดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
โดยเฉพาะการจัดเวรยาม และบันทึกรายมือชื่อในการปฏิบัติการทุกครั้งของกำลังพล โดยกุญแจ ที่ใช้สำหรับการ “ไข” เข้าไปใน “คลังแสง” ที่เก็บอาวุธ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ลูก โดยลูกหนึ่งจะอยู่ที่ผู้บังคับบัญชา หรือผบ.หน่วย เท่านั้น ส่วนอีก 1 ลูก จะให้ผู้ปฏิบัติในการรักษาเวรยามในค่ำคืนนั้น
ที่สำคัญการตรวจสอบอาวุธภายใน “คลังแสง” ก่อน-หลังทุกครั้ง
เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติตรวจสอบเสร็จ จะนำ “คั่ง” มาปิดกุญแจที่ล็อกเอาไว้อีก 1 ชั้น โดยจะมีการประทับตราและเซ็นชื่อว่าใครมาปฏิบัติภารกิจวันเวลาดังกล่าว คล้ายๆ กับพัสดุไปรษณีย์ คลังแสงของกองทัพบกมีเป็นจำนวนมาก ดังนั้น การดูแลรักษาความปลอดภัยจึงต้องทำอย่างละเอียด เนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีประสบการณ์อาวุธภายในคลังแสงหายไปหลายครั้ง ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ สั่งการโดยออกเป็นหนังสือเวียนไปยังทุกหน่วยในการดูแลอาวุธภายในคลังแสงของแต่ละเหล่าทัพให้มีความเข้มงวด เพราะคลังแสงถือเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพ
ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา พล.อ.อนุพงษ์ ได้กำชับในการประชุมหน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก (นขต.ทบ.) ตลอด เพราะเกรงว่าอาวุธของกองทัพจะหลุดรอดออก และถ้าไปตกอยู่กับฝ่ายตรงข้าม ก็จะยิ่งทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติหน้าที่ โดยอาจจะเป็นช่องโหว่ให้ฝ่ายตรงข้าม พล.อ.อนุพงษ์ จึงสั่งกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ลูบคมของกองทัพอีกครั้ง