บิ๊กคมช.ขึ้นเหนือเข้าพิธีสืบชะตา

ถลกนิ่มๆนโยบายครม.แอ้ด


"บิ๊กแอ้ด"นำทีมแถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ขับเคลื่อน 5 นโยบายหลัก ประกาศเน้นเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมๆกับการเร่งปฏิรูปการเมือง ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นและผลประโยชน์ทับซ้อน ด้าน"มาร์ค"ชี้ทำนโยบายเหมือนแผนแม่บท และไม่มีนโยบายระยะสั้นว่าจะทำอะไร ขณะที่เด็กไทยรักไทยซัดเขียนนโยบายเหมือนจะอยู่ยาวถึง 4 ปี บิ๊กสงค์-ประสงค์ สุ่นศิริ อภิปรายจี้รัฐบาล-คมช.จี้ให้ทำตามสัญญาเมื่อตอนยึดอำนาจ "วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์"ระบุเป็นนโยบายครอบจักรวาล หลงทาง ทั้งที่เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ ด้านบิ๊กคมช.ยกพลขึ้นเหนือพร้อมหน้า เข้าร่วมพิธีสืบชะตาหลวงกับหมอดูเมืองเชียงใหม่ หลังถูกทักดวงไม่ค่อยดี "สนธิ บุญยรัตกลิน"แจงข่าวนัด"แม้ว"เข้าพบแค่ข่าวลือ

-สภาขลุกขลัก-แถลงนโยบาย

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก บรรดาสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทยอยกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า ส่วนใหญ่ใช้ประตูทางเข้ารัฐสภาชั้นล่าง เนื่องจากทางขึ้นชั้นสองของรัฐสภา เจ้าหน้าที่ได้นำเครื่องกั้นระบบอัตโนมัติมากั้นไว้และจะเปิดให้เฉพาะรถของวีไอพีเท่านั้น เช่น รถของประธานและรองประธานสภา รถนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเท่านั้น นอกจากนี้ ก่อนที่พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกฯจะมาถึง เจ้าหน้าที่รปภ.ชุดล่วงหน้าของนายกฯได้มาประสานกับเจ้าหน้าที่รัฐสภา เพื่อจัดหาไมโครโฟน และลำโพง เพื่อติดตั้งและเตรียมไว้ทางเข้าชั้นสองของอาคาร กรณีนายกฯจะให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน รวมทั้งได้กั้นเชือกเพื่อไม่ให้เข้าประชิดตัวนายกฯได้ ซึ่งการเตรียมการดังกล่าวปรับเปลี่ยนอยู่หลายครั้ง จนถูกวิจารณ์จากเจ้าหน้าที่และสื่อจำนวนมาก เพราะกีดขวางการเดินเข้า-ออกของสมาชิกและเจ้าหน้าที่จนเกิดการชุลมุนหลายครั้ง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ เดินทางมาถึงในเวลา 09.30 น.และปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเร่งเก็บอุปกรณ์ต่างๆทันที

-เน้นปฏิรูปการเมือง-ร่างรธน.


ต่อมาเวลา 09.30 น. มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีวาระสำคัญในการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสนช.ทำหน้าที่ประธาน ซึ่งแจ้งให้ที่ประชุมทราบว่า มีการถ่ายทอดสดการอภิปรายทางวิทยุกระจายเสียงของช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ และสถานีวิทยุโทรทัศน์ของรัฐสภา และติดตามได้ทางเว็บไซต์ www.senate.go.th ของวุฒิสภา ทั้งนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ พร้อมคณะรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมประชุมกันอย่างพร้อมเพรียง

จากนั้นพล.อ.สุรยุทธ์ ได้แถลงนโยบายแบ่งออกเป็น 5 ด้านคือ1.นโยบายการปฏิรูปการเมือง การปกครอง และการบริหาร 2.นโยบายเศรษฐกิจ 3.นโยบายสังคม 4.นโยบายการต่างประเทศ และ 5.นโยบายการรักษาความมั่นคงของรัฐ

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวถึงนโยบายแรกคือ นโยบายการปฏิรูปการเมือง การปกครองและการบริหาร สถานการณ์ทางการเมืองและการบริหารในช่วงเวลาที่ผ่านมาเกิดวิกฤตในศรัทธาของประชาชน ดังนั้น เพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมืองและการบริหาร รัฐบาลจึงกำหนดนโยบายสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับถาวร เพื่อการปฏิรูปการเมือง โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม เสริมสร้างมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบ รวมทั้งการป้องกันการกระทำที่เข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อน

-สร้างระบบคุณธรรม-จริยธรรม

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการทำแผนแม่บทพัฒนาการเมืองที่เสริมสร้างระบบคุณธรรม จริยธรรมทางการเมือง วัฒนธรรม และการเรียนรู้ใหม่ทางการเมือง จัดทำแผนแม่บทการใช้ทรัพยากรสื่อสารของชาติ ส่งเสริมเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อสารมวลชน ควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม และผลักดันให้มีกฎหมายว่าด้วยการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ส่งเสริมบทบาทขององค์กรภาคเอกชนและภาคประชาชน ให้ควบคู่กับองค์กรภาคราชการในการพัฒนาศักยภาพของประชาสังคมและชุมชนท้องถิ่น มุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรบุคคลและการจัดองค์กรภาครัฐ ให้สอดคล้องกับทิศทางการนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน สังคมมีความเข้มแข็ง และประชาชนมีความสุขด้วยการดำรงชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และสนับสนุนการกระจายอำนาจอย่างต่อเนื่อง ตามครรลองระบอบประชาธิปไตย

-ยึดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง


พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า นโยบายที่ 2 รัฐบาลจะดำเนินการนโยบายเศรษฐกิจ โดยยึดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยภาคเศรษฐกิจฐานรากจะสนับสนุนให้การพัฒนาการเกษตรตามแนวทางทฤษฎีใหม่เป็นทางเลือกสำคัญสำหรับเกษตรกรรายย่อย ภาคเศรษฐกิจระบบตลาดจะให้กลไกการตลาดดำเนินการได้อย่างเต็มที่ ภายใต้หลักคุณธรรมและการสร้างความเป็นธรรมในภาคเศรษฐกิจ และภาคเศรษฐกิจส่วนรวมจะสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพเป็นรากฐานการเติบโตของผลิตภัณฑ์ประชาชาติที่ยั่งยืน

"รัฐบาลจึงให้ความสำคัญแก่เป้าหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพควบคู่กับการวัดความเจริญเติบโตของผลิตภัณฑ์ประชาชาติ เพื่อการนี้จะจัดทำแผนแม่บทการสร้างเสริมประสิทธิภาพแห่งชาติ โดยเป็นแผนร่วมกับเอกชนสำหรับภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ให้เสร็จสิ้นภายใน 6 เดือน มุ่งสนับสนุนการออมในทุกระดับ โดยใช้นโยบายการออมที่เหมาะสมและส่งเสริมจิตสำนึกในการประหยัด เพื่อลดหนี้สินในระดับครัวเรือนและเพื่อการดำรงชีพที่ดีในวัยสูงอายุ ส่วนด้านการเงินและการคลัง จะดำเนินนโยบายงบประมาณขาดดุลเพื่อให้รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างเพียงพอ และมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ขณะที่จะเสริมสร้างวินัยทางการเงินการคลังภาครัฐ โดยการใช้จ่ายอย่างมีเหตุผลและประหยัด" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า นโยบายที่ 3 สังคม รัฐบาลมุ่งมั่นจะสร้างสังคมเข้มแข็งที่คนในชาติอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างสมานฉันท์บนพื้นฐานของคุณธรรม โดยมีนโยบายส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความสมานฉันท์ของคนในชาติ ให้เกิดความร่วมมือในการกอบกู้และฟื้นฟูประเทศชาติในทุกด้าน เร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนำความรู้ มุ่งมั่นขยายโอกาสทางการศึกษาของประชาชนให้กว้างขวางและทั่วถึง ปฏิรูประบบกระบวนการยุติธรรมโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม ส่งเสริมและพัฒนาประสิทธิภาพของหน่วยงานและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม

-แก้ปัญหาไฟใต้-ยึดคำปฏิญาณ

พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวถึงนโยบายที่ 4 การต่างประเทศ รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติ เสริมสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นของประชาคมระหว่างประเทศ และนโยบายที่ 5 การรักษาความมั่นคงของรัฐ ส่งเสริมการผนึกกำลังระหว่างภาครัฐภาคเอกชน ภาคสังคมและวิชาการ เพื่อป้องกันประเทศอย่างต่อเนื่องในยามปกติ และนำไปสู่การระดมสรรพกำลังเพื่อยกระดับขีดความสามารถของกองทัพให้เพียงพอและทันเวลาในยามไม่ปกติ

พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า ในยามปกติรัฐบาลจะเสริมสร้างและใช้ศักยภาพของกองทัพสนับสนุนการพัฒนาพลังอำนาจของชาติทุกด้าน เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคงและมั่งคั่งภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสมานฉันท์ ป้องกัน บรรเทา และแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ ได้แก่ ปัญหาการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยน้อมนำแนวทางพระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และปัญหาภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ผู้ประสบภัยพิบัติการก่อการร้าย รวมทั้งอาชญากรรมภายในประเทศและที่มีลักษณะข้ามชาติประเภทต่างๆ ซึ่งรวมถึงยาเสพติด ผู้หลบหนีเข้าเมือง แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย การค้าสิ่งของผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ และการกระทำอันเป็นโจรสลัด

"การกำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีตามที่กล่าวมานี้ ขอให้ความเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะบริหารราชการแผ่นดินอย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้ลุล่วงภายในเวลาอันจำกัดโดยยึดมั่นและรักษาคำสัตย์ปฏิญาณที่ได้ถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสที่เข้ารับหน้าที่ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และด้วยความตั้งใจอย่างแน่วแน่แท้จริง" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

-"สงค์"ให้รัฐบาล-สนช.จับมือกัน


ภายหลังการแถลงนโยบายของพล.อ.สุรยุทธ์จบลง น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ สมาชิกสนช. ได้อภิปรายเป็นคนแรก ว่า รัฐบาลมาจากผลผลิตของรัฐประหาร มาทำหน้าที่ชั่วคราว ในช่วงภาวะไม่ปกติ ดังนั้นการบริหารประเทศจะทำเหมือนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ ในระยะเวลาจำกัดเพียง 1 ปีมีความสำคัญอย่างยิ่งว่าการเมืองจะดีขึ้นหรือแย่ลง การทำงานของรัฐบาลและสนช. จึงต้องร่วมมือกันเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าในช่วง 5-6 ปี มีความเสียหาย จะมีการแก้ไขปัญหาให้หมดไปได้อย่างไร แม้การยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย.จะไม่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตย แต่ประชาชนสนับสนุนเพราะประชาชนไม่มีทางเลือกอื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญของคณะทหารและรัฐบาล ที่จะต้องทำให้ถูกใจและได้ผลสมความมุ่งหมาย ตามที่ประชาชนคาดหวังไว้

น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า คำแถลงการณ์ฉบับแรกของคณะทหารในการยึดอำนาจทั้ง 4 ข้อ เป็นคำแถลงการณ์ที่โดนใจที่สุด เหตุผลทั้ง 4 ข้อที่ประกาศไว้เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ถือเป็นสัญญาประชาคม และเป็นพันธกิจที่ให้ไว้กับประชาชนที่จะละเลยไม่ได้ รัฐบาลจะต้องมาสานต่อและทำให้ประจักษ์เห็นผลชัดเจนตามที่คณะทหารนำมาอ้างให้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่การกล่าวหาลอยๆ มิฉะนั้นประชาชนทั้งในและต่างประเทศ อาจจะกล่าวหาว่าคณะทหารไปรังแกเขาได้ จึงขอเรียกร้องรัฐบาลได้สานต่อที่คณะทหารทำเพื่อให้ความจริงปรากฏ ที่ผ่านมากลไกทางการเมืองได้รับความเสียหาย ข้าราชการได้ละเว้นในการทำหน้าที่ จึงอยากขอให้รัฐมนตรีที่มีความสามารถ ขอให้ข้าราชการกลับทำงานเพื่อประชาชนโดยเร็ว

"ในเรื่องความแตกแยก รัฐบาลมีหน้าที่ทำให้เกิดสมานฉันท์ ทำให้ศัตรูกลับมาเป็นมิตร แต่อย่าผลักให้มิตรเป็นศัตรู เพราะถือเป็นอันตรายที่ยิ่งใหญ่ในช่วง 2 เดือนได้มีเสียงติติงมาตลอดหลังจากคณะทหารได้ผ่องถ่ายอำนาจมาให้รัฐบาลและสนช. ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมทำงานให้พันธกิจ 4 ข้อสำเร็จให้ได้ แต่การทุจริตคอร์รัปชั่นที่เป็น 1 ในเหตุผลในการทำรัฐประหาร 1 เดือนยังไม่มีอะไรคืบหน้า คนผิดยังลอยนวล ดังนั้นรัฐบาลจะต้องสนองกับพันธกิจ 4 ข้อ และอย่าสร้างความอึดอัดความไม่พอใจให้เกิดขึ้น อย่าทำให้มิตรที่เคยสนับสนุนมาเป็นศัตรู" น.ต.ประสงค์ กล่าว

-"วิษณุ"ชมนโยบายแปลกใหม่

ด้านนายวิษณุ เครืองาม สมาชิกสนช. อภิปรายว่า นโยบายรัฐบาลชุดนี้เป็นนโยบายที่แปลกใหม่ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียงอย่างมากที่สุด ที่สำคัญได้สร้างภูมิคุ้มกันในการแก้ไขปัญหาไว้ด้วย เป็นการวางสมดุลระหว่าง ความเป็นรูปธรรมและนามธรรม ไว้ได้อย่างพอเพียง แต่รู้สึกเห็นใจรัฐบาลเพราะ 1 เดือนที่ผ่านมา มีเสียงเรียกร้องให้ทำงานอย่างรวดเร็ว ขณะที่รัฐบาลได้เริ่มทำงานไปแล้ว มีการกำหนดแผนงานไว้ชัดเจนว่าภายใน 6 เดือนจะทำอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะบทบาทของผู้ว่าฯซีอีโอ ที่จะมีการปรับปรุงใหม่ หรือเศรษฐกิจทฤษฎีใหม่ที่จะมาใช้ เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จแล้ว เป็นหน้าที่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จะกลับไปร่างแผนปฏิบัติการเพื่อส่งให้ครม.พิจารณาโดยเร็ว

นายวิษณุกล่าวว่า เสนอในการปรับปรุงกฎหมายว่า เป็นที่น่าเสียดายที่นโยบายได้ระบุเพียงว่า จะปรับปรุงเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการค้า ซึ่งยังมีกฎหมายที่ดีเกิดขึ้นก่อนการยึดอำนาจ ตกค้างอยู่ที่สภาชุดที่แล้ว หรืออยู่ที่คณะกรรมการกฤษฎีกากว่า 400 ฉบับควรนำกลับมาพิจารณา กฎหมายฉบับใดอยู่ในขั้นตอนคณะกรรมการกฤษฎีกา ควรเร่งรัดให้ตรวจสอบให้ส่งกลับมายังครม. แต่สิ่งสำคัญการนำเสนอกฎหมายเข้าสู่สภาสนช.ของรัฐบาลชุดนี้ ถือเป็นโอกาสทองที่สภาประชุมสัปดาห์ละ 2 วันโดยไม่มีปิดสมัยประชุม จึงควรใช้โอกาสนี้ปรับปรุงกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายใดที่จะขัดต่อรัฐธรรมนูญ รวมทั้งระยะเวลาการทำงานของรัฐบาล 1 ปีก็มีความเหมาะสม เหมือนกับสมัยที่นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกฯหลังการยึดอำนาจปี 2534

-"หมอแว"แนะตั้งรมต.ดับไฟใต้


ต่อมาน.พ.แวมาฮาดี แวดาโอะ สมาชิกสนช. อภิปรายว่า เท่าที่ดูไม่เห็นนโยบายการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แค่มีแทรกอยู่ในหัวข้อ 5.1 เรื่องความมั่นคงเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่เหมาะ ทั้งนี้ มีข้อความฝากมาจากประชาชนในพื้นที่ว่าต้องการข้าราชการที่ซื่อสัตย์ และมีความสามารถปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งมีข้าราชการบางคนถือโอกาสหาความดีความชอบ แต่ทิ้งรอยบาดแผลให้คนในพื้นที่ ทั้งนี้ ในสงครามกองโจร การจะฆ่าใครหรืออุ้มใคร ต้องดูให้ดีเพราะทุกครั้งที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ไปหนึ่งคนเท่ากับต้องถอยไปหนึ่งก้าวในสงครามแย่งชิงประชาชน เพราะประชาชนเป็นปัจจัยชี้ขาด จึงเห็นด้วยกับข้อ 3.8 ที่จะปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม

"เงื่อนไขสำคัญที่มีการก่อเหตุ คือการนำตัวไปโดยไม่มีหมายจับหรือการอุ้ม ไปบังคับให้สารภาพ นำไปขังที่เซฟเฮาส์ ที่ยืนยันได้เพราะผมเคยถูกขัง 2 วัน 1 คืน ตกเป็นจำเลยที่ 1 ในคดีเจไอ ซึ่งไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา หากมีข้อมูลก็ให้นำไปที่สภ.อ. ทำการสอบสวนและให้สิทธิแก่ผู้ต้องหาในการพบญาติและมีทนาย อยู่ในเขตการสอบสวน" น.พ.แวมาฮาดีกล่าว

น.พ.แวมาฮาดี ได้อภิปรายเสนอให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และใช้เครื่องมืออื่นแทน เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามนิติกรรมสากล เนื่องจากเพิ่มอำนาจให้เจ้าหน้าที่ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ และขอเสนอเรื่องการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ให้มี 1 ผู้ช่วยทนายความในทุกตำบล เพื่อไว้คอยช่วยเหลือผู้ต้องหาที่ถูกกล่าวหาโดยไม่เป็นธรรม เพราะขณะนี้ศูนย์นิติธรรมที่ตั้งโดยคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติไม่เพียงพอ และขอให้รัฐบาลแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯลงไปประจำในพื้นที่ ร่วมแก้ปัญหากับศอ.บต. และให้รายงานตรงกับนายกฯ

-"ปุ"ติงอย่าจับปลาซิวปลาสร้อย

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ อภิปรายว่า นโยบายรัฐบาลยังไม่โดนใจเท่าไหร่ การทำนโยบายเพื่อทำงาน 1 ปีน่าจะทำ 4 ด้านหลักให้ชัดคือเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง การสมานฉันท์และสังคมคุณธรรม การปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่น และการปฏิรูปการเมือง แม้นโยบายที่รัฐบาลแถลงจะมีประเด็นดังกล่าวอยู่ แต่ยังดูปะปนกับหลายเรื่อง นอกจากนี้รัฐบาลอาศัยคตส. ป.ป.ช. สตง.ในการปราบทุจริต แต่ดูเหมือนองค์กรเหล่านี้รำดาบอยู่ ประชาชนก็เริ่มกังขาเพราะก่อนหน้านี้มีข้อมูลเป็นระยะว่าเจอแล้วหลายเรื่อง แต่ไม่ทำอะไรเสียที ดังนั้น ควรจับเรื่องดังกล่าวมาเป็นเรื่องเร่งด่วน เรื่องหลักๆที่ปะปนอยู่ในนโยบายจะได้ปรากฏชัด

จากนั้น ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อภิปรายว่า นโยบายรัฐบาลส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่ดี แต่อยากตั้งข้อสังเกต 4 ข้อ คือ 1.ด้วยเวลาที่จำกัด การวางแผนการทำงานควรชัดเจนกว่ารัฐบาลที่มีวาระทำงานปกติ น่าจะทำปฏิทินวาระงานประจำปี มีดัชนีบ่งบอกความสำเร็จ 2. นโยบายทางด้านเศรษฐกิจที่ระบุไว้ว่างบดุลปี 2550 จะจัดทำในแบบขาดดุลนั้น เห็นว่าควรเป็นบัญชีสมดุล เพราะเหลือเวลาใช้จ่ายงบเพียง 8-9 เดือนเท่านั้น และรัฐบาลควรจะเป็นตัวอย่างของความประหยัด

ร.ต.อ.ปุระชัย กล่าวว่า 3.รัฐบาลไม่ควรผลักดันโครงการขนาดใหญ่ ที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลามาก เนื่องจากจะมีผลประโยชน์จำนวนมาก และ 4.คมช.และครม.จะต้องร่วมกันตอบโจทย์ 4 ข้อถึงสาเหตุของการรัฐประหาร โดยเฉพาะเรื่องของทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งจะต้องดำเนินการกับคนที่ทุจริตอย่างตรงไปตรงมา ขอให้จับปลาใหญ่ได้ 1-2 ตัวก็ยังดี ไม่ใช่ว่ามัวแต่ไปจับปลาซิวปลาสร้อย

-ปานเทพให้ปรับสำนักงานตำรวจ


ด้านพล.อ.ปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์ อภิปรายว่า เมื่อรัฐบาลกล้าหาญเข้ามาดำรงตำแหน่งในช่วงเวลานี้ จึงต้องกล้าที่ลงโทษผู้กระทำผิด และกล้าย้ายคนที่ไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล ในช่วงเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดของรัฐบาลสิ่งใดที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำดีไว้แล้ว ไม่เสียหาย อย่าไปปรับ รัฐมนตรีก็ไม่ควรจะสร้างศัตรูในสิ่งที่ไม่จำเป็น อยากให้รัฐบาลคำนึงถึงเรื่องการเลือกปฏิบัติ และการให้ความเป็นธรรม รวมทั้งเรื่องของความไม่สงบในภาคใต้ ตนขอเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่ผู้บงการได้

พล.อ.ปานเทพ กล่าวว่า อีกปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรื่องของการข่าว รัฐบาลชุดที่แล้วเอาตำรวจมาคุมสำนักข่าวกรอง ทำให้งานการข่าวพลเรือนลดถอยลง แต่เมื่อมีการรัฐประหาร ก็เอาทหารไปทำหน้าที่ผอ.สำนักข่าวกรอง ทำให้ข่าวพลเรือนไม่มีประสิทธิภาพเช่นกัน จึงขอให้รัฐบาลระวังไว้ด้วย อย่าให้เป็นว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง สิ่งที่นายกฯออกมาขอโทษคนในพื้นที่ภาคใต้เป็นเรื่องที่ดี แต่สิ่งที่รัฐบาลชุดที่แล้วทำกับประชาชนมีมากมาย จึงขอเรียกร้องให้นายกฯออกมาขอโทษคนไทยทั้งประเทศ ในการกระทำของรัฐบาลชุดที่แล้ว โดยเฉพาะผลที่เกิดจากการปราบปรามยาเสพติด

พล.อ.ปานเทพ อภิปรายต่อว่าอีกเรื่องที่ขอให้นายกฯออกมายืนยัน คือเรื่องของการสืบทอดอำนาจ ที่เกิดความไม่สบายใจ พล.อ.สนธิ พล.อ.สุรยุทธ์ หรือพล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ไม่มีทางที่จะวางแผนสืบทอดอำนาจแน่นอน ถ้าไม่จริงขอให้มาประชาทัณฑ์ได้ ซึ่งหวังว่านายกฯคงไม่อยากให้ลูกพี่เก่าถูกประชาทัณฑ์ จึงอยากขอคำยืนยันจากนายกฯด้วย

พล.อ.ปานเทพ กล่าวว่า ปัญหาอีกอย่างคือการดำรงอยู่ของรัฐตำรวจ ตนไม่ได้เกลียดพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ไม่ได้ดีใจกับข่าวพล.ต.อ.โกวิทจะถูกปลด แต่ต้องยอมรับในหลักการว่า ตำรวจไม่ใช่องค์กรอิสระ แต่ตำรวจกลับไม่มีกระทรวงที่ดูแลรับผิดชอบ โดยขึ้นตรงกับนายกฯ ทำให้ไม่รู้ว่าหากจะร้องเรียนตำรวจจะต้องไปร้องเรียนที่ใด ถึงเวลาแล้วที่ต้องหากระทรวงให้ตำรวจสังกัด

-แนะส่งเสริมสิทธิของคนพิการ

จากนั้นนายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธ์ สมาชิก สนช. ตัวแทนจากคนพิการทางสายตา อภิปรายเรียกร้องว่า จากการนำร่างนโยบายไปหารือ เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้นำและองค์กรคนพิการ ขอเสนอให้มีคนพิการอย่างน้อย 1 คนในสภาร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงขอให้มีตัวแทนคนพิการ ในการจัดทำแผนแม่บทการใช้ทรัพยากรสื่อสารของชาติ และการใช้เครื่องมือสื่อสารของรัฐ นอกจากนี้ขอให้รัฐสนับสนุนการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชนของคนพิการ ส่งเสริมให้คนพิการมีสิทธิเท่าเทียมกับคนปกติในการรับบริการทุกด้านของรัฐ รวมถึงการมีส่วนร่วมกับกิจกรรมสาธารณะ เช่น การกีฬา การท่องเที่ยว และควรมีนโยบายเฉพาะด้านที่เกี่ยวกับคนพิการ ควรแก้พ.ร.บ.จัดตั้งสำนักงานสลาก โดยแก้ไขสัดส่วนคณะกรรมการให้มีคนพิการไปด้วยเพื่อดูแลและจัดสรรเงินไปให้ผู้ด้อยโอกาสและคนพิการ

กระทั่งเวลา 16.25 น.นายอรรคพล สรสุชาติ สนช.จากสายพรรคการเมือง อภิปรายว่า มีประชาชนอึดอัดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาของรัฐบาล เพราะไม่ทราบว่ารัฐบาลทำอะไรบ้าง บางเรื่องน่าจะชัดเจนก็ไม่ชัด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นโครงการซีทีเอ็กซ์ 9000 ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ขอให้นายกฯกล้าหาญ และอย่าปกป้องข้าราชการที่รู้เห็นเป็นใจ พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลเดิมถ้าดีไม่ควรยกเลิก

-เรียกร้องใช้หลักยุติธรรมแก้ใต้


ขณะที่นายวินัย สะมะอุน สมาชิก สนช.สายมุสลิม อภิปรายการแก้ไขปัญหาในภาคใต้ว่า ผู้บริหารประเทศ ต้องมีความยุติธรรม ยอมรับความเสมอภาค ปัญหาที่เกิดขึ้น มักมีการล่วงละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐบางคน ซึ่งอาจสร้างความชอกช้ำ จนมีการขยายตัวออกไป จนกลายเป็นสัญญาณที่เป็นภัยอันตรายอย่างใหญ่หลวง ทำให้กลายเป็นศัตรูกับรัฐ ดังนั้น รัฐบาลจะต้องพยายามแก้ไขปัญหาให้ได้ จึงเสนอว่าอย่าได้ละเลยกับเหตุการณ์ หรือปัญหาเล็กน้อยที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นการหมิ่นศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ดังนั้นต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกคน นอกจากนี้รัฐจะต้องเปิดรับฟังความคิดเห็นของประชาชน การเปิด ศอ.บต.ถือเป็นหน่วยงานที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด เป็นที่พึ่ง เป็นเวทีในการแสดงความคิดเห็นและมีตัวแทนเป็นเครือข่ายของ ศอ.บต.จึงขอให้ทุกคนรู้รัก สามัคคี เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา

นายวินัย อภิปรายสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นแนวทางสอดคล้องกับการดำเนินชีวิตของคนในภาคใต้ ตรงกับคำสอนของทุกศาสนา ส่วนแนวเศรษฐกิจการแข่งขันเสรีก็จะต้องมีคุณธรรม ไม่ใช่มือใครยาวสาวได้สาวเอา ส่วนนโยบายการปฏิรูปการศึกษา จะต้องสร้างจิตสำนึกของท้องถิ่นให้ความรู้ภายใต้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามวิถีชีวิตของชุมชน

-"สมหมาย"ติงเน้นแต่แผนแม่บท


จากนั้นนายสมหมาย ปาริจฉัตต์ อภิปรายว่า เห็นด้วยในหลักการ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้วเห็นว่ารัฐบาลเน้นจัดทำแผนแม่บทด้านต่างๆมากจนเกินไป จนเกรงว่าเวลา 1 ปีที่จะบริหารประเทศ รัฐบาลจะมัวแต่ทำแผนแม่บทจนหมดเวลาเสียก่อน จึงอยากเสนอแนะให้รัฐบาลนำแผนแม่บทด้านการพัฒนาการเมืองที่เคยดำเนินการมาแล้วภายหลังจากมีรัฐธรรมนูญปี 2540 ประกอบแผนแม่บทของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 นำเสนอให้คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อนำไปหลอมรวมกันให้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะทำให้นโยบายรัฐบาลกับแผนแม่บทต่างๆสอดคล้องและกลมกลืนกัน เชื่อว่าจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อการบริหารในด้านต่างๆของรัฐบาลได้

-บิ๊กคมช.-เมียยกทัพขึ้นเหนือ

วันเดียวกัน ที่พล.ม.2 พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. ในฐานะประธานคมช. กล่าวถึงกระแสข่าวพ.ต.ท.ทักษิณ จะขอเข้าพบที่จ.เชียงใหม่ระหว่างวันที่ 3-4 พ.ย.ว่า เป็นข่าวลือ เพราะระยะทางจากจีนผ่านมาทางพม่าและเข้าประเทศไทย เป็นระยะทางที่ไกลมาก โดยเงื่อนไขการเดินทางกลับประเทศไทยของพ.ต.ท.ทักษิณ คือความสงบสุขของประเทศ ซึ่งรัฐบาลและคมช.ไม่ได้ห้ามแต่ควรเดินทางกลับมาในช่วงเวลาที่เหมาะสม ส่วนการเดินทางไปจ.เชียงใหม่ของคมช.นั้น เพื่อไปตรวจเยี่ยมกองกำลังผาเมือง

พล.อ.สนธิ กล่าวว่า จะเสนอรัฐบาลให้จัดทำเป็นวาระแห่งชาติ 3 เรื่องคือเรื่องความสมานฉันท์ ความรู้รักสามัคคีของคนในชาติ และการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งปี 2550 เป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะคมช.ประกอบด้วย พล.อ.สนธิ ในฐานะประธานคมช. พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ. ในฐานะรองประธาน คมช. พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. สมาชิกคมช. พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ ผบ.ทร. พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผช.ผบ.ทบ. ในฐานะ ผู้ช่วยเลขาฯคมช. พร้อมคณะภริยา ได้เดินทางมาที่จ.เชียงใหม่ เพื่อปฏิบัติภารกิจในการตรวจเยี่ยมหน่วยต่างๆ นอกจากนั้นยังมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ เดินทางมาร่วมด้วย พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ เสนาธิการทหารบก พล.ท.จิรเดช คชรัตน์ แม่ทัพภาคที่ 3 พล.อ.วิชิต ยาทิพย์ อดีต รอง ผบ.ทบ. พล.ท.ชวลิต จารุจินดา ผบ.ศรภ. พล.ท.จักรกฤษณ์ อินทรทัต โฆษกกลาโหม ทั้งนี้มี พล.อ.สุรพันธุ์ พุ่มแก้ว ผบ.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ร่วมงานด้วย

-เข้าพิธีสืบชะตาหลวงกับหมอดูดัง


เมื่อเวลา 17.30 น. ที่หมู่บ้านสุขิโต ต.ป่าตัน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นวิหารหลวงปู่ ภายในบ้านพักของอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ อาจารย์ชื่อดังในการพยากรณ์โชคชะตาชีวิต และผูกดวงให้ข้าราชการทหาร ข้าราชพลเรือน และนักการเมืองชื่อดังจำนวนมาก ปรากฏว่า มีพล.อ.บุญสร้าง และพล.ร.อ.สถิรพันธุ์ และพล.อ.อ.ชลิต พร้อมภริยา เข้าร่วมพิธีทำบุญมหากุศล ครั้งที่ 4 ประจำปี ซึ่งถือเป็นพิธีสืบชะตาหลวงของประชาชนชาวภาคเหนือ โดยจะมีการทอดกฐินการกุศลจำนวน 11 กอง เพื่อกระจายไปในวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ทั้งนี้ พล.อ.บุญสร้าง และพล.ร.อ.สถิรพันธุ์ ได้เข้าร่วมพิธีสืบชะตาหลวง โดยมีพระสงฆ์สวดเสริมดวงชะตา โดยมีกองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 ค่ายสมเด็จพระบรมราชชนนี มณฑลทหารบกที่ 33 และกำลังจากกรมรบพิเศษที่ 5 ร่วมกันรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่ไปสะเดาะเคราะห์ในครั้งนี้ เนื่องจากถูกทักว่าดวงของหลายคนในคมช.กำลังตก ซึ่งทำให้คมช.ถูกกระแสกดดันจากหลายๆฝ่าย ดังนั้น เพื่อให้สถานการณ์ในประเทศดีขึ้นและเรียกความศรัทธาจากประชาชน ทางคมช.ต้องไปทำบุญเสริมดวงชะตา อย่างไรก็ตาม แม้จะทำพิธีในวันเดียวกันนี้แล้ว ในวันที่ 4 พ.ย. คมช.ทั้งหมดจะต้องมาทำพิธีอีกครั้งในเวลา 07.00 น. ทั้งนี้ เป็นที่เชื่อถือกันว่า อาจารย์วารินทร์ ทำนายดวงชะตาแล้วปรากฏเป็นจริง ผู้ที่ได้รับการทำนายถวายกฐินรายละ 1 กอง ซึ่งก่อนหน้านี้พล.อ.สนธิได้รับการทำนายผ่านผู้ใต้ผู้บังคับบัญชาว่า จะได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. รวมถึงเคยทำนาย พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จะขึ้นดำรงตำแหน่งเป็น ผบ.ทบ. มาแล้ว

-หน.ฝ่ายเสธ.แจงแค่มาทอดกฐิน

พล.อ.เขมรัฐ กาญจนวัฒน์ หัวหน้าฝ่ายเสธ.ประจำผบ.ทหารสูงสุด กล่าวว่า พิธีดังกล่าวเป็นการสืบสานทางประเพณีของชาวเหนือที่ดำเนินการมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งมีการนำกองกฐินหลวงมารวมกัน 21 กอง เพื่อทำพิธีสักการะก่อนที่จะนำกฐินทั้ง 21 กอง กระจายทอดไปตามวัดต่างๆทั่วประเทศ ซึ่งประเพณีนี้ชาวเหนือถือเป็นพิธีสืบชะตาหลวง เพื่อความสิริมงคลของประเทศ ซึ่งดำเนินการมาทุกปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้น พล.อ.บุญสร้าง และพล.ร.อ.สถิรพันธุ์ และพล.อ.อ.ชลิต ได้เดินทางไปสมทบกับคมช.ที่กรมรบพิเศษที่ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ โดยมีพล.อ.สนธิ และพล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะเลขาฯคมช. รอร่วมรับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งก่อนหน้านี้มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะเดินทางเข้าพบคมช. ด้วยรถยนต์ส่วนตัว แต่ก็ไม่ปรากฏว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางมาแต่อย่างใด

-"มาร์ค"ติงไม่มีนโยบายเร่งด่วน


เมื่อเวลา 08.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการข่าวยามเช้า ทางสถานีวิทยุ 101 ว่ากรณีของนายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ ตนขอให้คมช.ใส่ใจในเรื่องที่เกิดขึ้นและควรทำความเข้าใจชี้แจงประชาชนถึงที่มาที่ไปของรัฐประหาร การคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อทำให้สถานการณ์ปัญหาไม่ลุกลามออกไป เพราะมีคนจำนวนมากที่มีจุดยืนในเรื่องของประชาธิปไตยที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ซึ่งคมช.ต้องแยกแยะ เพราะเป็นความคิดความเชื่อที่บริสุทธิ์ใจ ต้องแยกแยะออกจากปัญหาที่เรียกว่าคลื่นใต้น้ำหรืออาจจะก่อความไม่สงบ ตราบเท่าที่ไม่มีความชัดเจนในการแยกแยะ ความอึดอัดของสังคมจะสะสม เมื่อสะสมแล้วสถานการณ์จะบริหารจัดการยาก

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการแถลงนโยบายต่อสนช.ว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้เขียนค่อนข้างกว้าง หลายเรื่องออกมาคล้ายเป็นแผน เหมือนเวลาเราอ่านแผนพัฒนา ถ้าถามถึงทิศทางหลักๆ เช่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน เศรษฐกิจพอเพียง มีการเน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรมต้องเข้ามากำกับเรื่องราวต่างๆ คิดว่าตรงนี้คงจะไม่มีใครแย้ง แต่ถ้าแปลความตรงนี้มาอย่างไรก็ยังไม่ชัดเจน เช่น ประเด็นพูดถึงความพอดีของเศรษฐกิจพอเพียงเศรษฐกิจตลาด คนอยากรู้ว่ามันแปลว่าอะไร ถ้าหากต้องตัดสินเรื่อง เอฟทีเอจะเดินต่อหรือไม่

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สิ่งที่อยากเห็นมากแต่ไม่เห็นคือความชัดเจนในนโยบายเร่งด่วน เพราะเป็นรัฐบาลที่มีกรอบเวลาการทำงานที่ชัดเจนและสั้น น่าจะแถลงนโยบายในลักษณะที่เหมาะสมว่าภายใน 1 ปี อะไรบ้างที่ต้องดำเนินการโดยเฉพาะปัญหา 2 เรื่องที่อยากเห็นความชัดเจนคือน้ำท่วม และปัญหาภาคใต้

-อัดยับนโยบายครอบจักรวาล

นายวุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ กล่าวก่อนประชุมสภาว่า หากดูรายละเอียดการจัดทำร่างนโยบาย จะเห็นว่าเป็นนโยบายครอบจักรวาล เขียนนโยบายแบบเดิมๆที่ไม่ได้กำหนดประเด็นการแก้ปัญหาอะไรเลย จึงทำให้ไม่สามารถทำงานครอบคลุมตามแนวนโยบายได้ รัฐบาลนี้กำลังสับสนคำว่ารัฐบาลรักษาการและรัฐบาลเฉพาะกิจ ดังนั้นภารกิจไม่ใช่แค่การตั้งผู้ใหญ่ที่เคยเป็นปลัดกระทรวงมานั่งจ่อมบนเก้าอี้ให้อุ่น รอการเลือกตั้งเท่านั้น รัฐบาลจะต้องตระหนักว่าการเข้ามาทำหน้าที่มาจากช่องโหว่ทางการเมือง จะปล่อยผ่านไป และดำรงอยู่ในแนวทางเดิมๆไม่ได้ ดูจากนโยบายของรัฐบาล ให้มีเวลา 12 ปีก็ทำไม่เสร็จเพราะมัวไปดูแต่เรื่องมโนสาเร่ อาทิ แจ๊คพ็อตหวย โฆษณาเหล้า แต่ไม่ดูปัญหาหลักของประเทศ

นายวุฒิพงษ์ กล่าวว่า ครม.ชุดนี้หากเปรียบเป็นละครก็เพียงแค่เปลี่ยนตัวละคร แต่บทละครยังเหมือนเดิม เช่น เอาน.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตรมว.พลังงาน ที่มีแนวคิดขายกฟผ.ออกไป แล้วเอานายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รมว.พลังงาน ที่ยังมีแนวคิดขายกฟผ.อยู่เหมือนเดิมเข้ามา หรือการเอานายวิจิตร ศรีสอ้าน เป็นรมว.ศึกษาฯแทนนายรุ่ง แก้วแดง ทั้งที่ 2 คนนี้ก็ร่วมกันเขียนพ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ที่ก่อให้เกิดปัญหาการปฏิรูปการศึกษามาด้วยกัน หรือเปลี่ยนรมว.คลังจากยุคนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ มาเป็นนายทนง พิทยะ จนถึงนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ หรือม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ทั้งหมดนี้เป็นกลุ่มคน ที่ทำงานให้กับพวกธนาคารพาณิชย์ด้วยกันทั้งนั้น ทำให้วงจรทุกอย่างยังคงย่ำอยู่กับที่ ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน คมช.และครม.จะต้องตระหนักให้มากว่า หากเกิดความล้มเหลวของรัฐบาลขึ้น จะเกิดผลกระทบต่อประเทศจนเกินเยียวยา

-เด็กทรท.อัดนโยบายหลงทิศ


ด้านนายเฉลิมชัย อุฬารกุล อดีตส.ส.สกลนคร พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลว่า เท่าที่ฟังดูเนื้อหายังสับสนว่ารัฐบาลชุดนี้มีที่มาอย่างไร จะมาอยู่ 1 หรือ 4 ปีกันแน่ เหมือนฟังนโยบายจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงอยากถามว่ารัฐบาลชุดนี้กำลังหลงทิศอยู่หรือไม่ ลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเข้ามาทำงานด้วยเหตุผลอะไร มีที่มาอย่างไรและมีระยะเวลาทำงานเท่าไหร่ ทำไมเรื่องจำเป็นที่เป็นปัญหาของประเทศจึงไม่ชี้แจงให้ชัดว่าจะลงมือทำ ในเมื่อเป็นรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยคมช.ที่ยึดอำนาจโดยอ้างเหตุผลที่เป็นปัญหาใหญ่ๆของประเทศ 4 ข้อ ดังนั้น ควรสะสางเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จเสร็จสิ้นภายในเวลา 1 ปี สิ่งเหล่านั้นต่างหากที่ควรเขียนลงในนโยบายของรัฐบาล

-"อ๋อย"แถลงเลื่อนเดินทางไปจีน

ที่พรรคไทยรักไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกระแสข่าวจะเดินทางไปประเทศจีนเพื่อพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรคว่า ที่ผ่านมาตนไม่ได้ติดต่อกับพ.ต.ท.ทักษิณ การเดินทางไประเทศจีนเป็นเพียงเหตุบังเอิญ เพราะตนตั้งใจจะไปพักผ่อนที่หน่วยงานด้านการศึกษาจากจีนเชิญตนไปในฐานะอดีตรมว.ศึกษาธิการ ตอนแรกคิดว่าจะไปสหรัฐ แต่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ไม่สะดวกในการเดินทาง จึงคิดว่าไปจีนดีกว่า โดยให้สถานทูตจีนช่วยวางแผนว่าควรไปไหนบ้าง เน้นศึกษาประวัติศาสตร์ กำหนดเดินทางวันอังคารที่ 7 พ.ย. และแจ้งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) ทราบเรียบร้อยแล้ว แต่เมื่อทราบว่าพ.ต.ท.ทักษิณยังอยู่เมืองจีน เกรงจะเป็นประเด็นทางการเมือง จึงขอเลื่อนไป 1 สัปดาห์ เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้นพ.ต.ท.ทักษิณคงเดินทางออกจากประเทศจีนแล้ว

นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ตนไม่มีความจำเป็นต้องไปพบพ.ต.ท.ทักษิณที่เมืองจีน เพราะเสี่ยงต่อการกลายเป็นประเด็นทางการเมือง ถ้าจะติดต่อสามารถต่อสายโทรศัพท์หารือกันเป็นชั่วโมงได้ ขณะนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณเลย ถ้าพบจะพบในฐานะอดีตหัวหน้าพรรค อดีตนายกฯที่ตนเคยร่วมครม.มากว่า 5 ปี ตั้งใจพบท่านเมื่อกลับเมืองไทยแล้ว แต่คิดว่าคงอีกนานพอสมควร ส่วนกระแสวิจารณ์เหตุที่พ.ต.ท.ทักษิณไปจีนครั้งนี้เพื่อกดดันรัฐบาลขอกลับประเทศไทยนั้น ตนออกความเห็นไม่ได้ เพราะไม่ได้รับมอบหมายให้มาชี้แจงแทนพ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่ขอทำหน้าที่ในเรื่องนี้

-"บุญรอด"ไม่รู้"แม้ว"ดอดเข้าไทย


เมื่อเวลา 09.00 น.ที่รัฐสภา พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รมว.กลาโหม ปฏิเสธว่าไม่ทราบข่าวกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะหลบเข้าประเทศไทยโดยใช้เส้นทางรถยนต์เข้ามาทางชายแดนภาคเหนือ เมื่อถามว่าเป็นเพราะข่าวดังกล่าวหรือไม่จึงทำให้คมช.ไปประชุมกันที่จังหวัดเชียงใหม่ พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า ตนไม่ทราบ

นายสฤษฏ์ อึ้งอภินันท์ อดีตส.ส.เชียงราย พรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกระแสข่าวพ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางเข้าประเทศไทยโดยผ่านชายแดนทางภาคเหนือว่า คงไม่มีแน่ คิดกันไปเรื่อย ไม่รู้ว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะลักลอบเข้ามาทำไม เพราะการลักลอบเข้ามาจะต้องเจอกำลังทหารที่ชายแดน พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่มีกำลัง ไม่มีอะไรจะไปสู้ มองไม่เห็นเหตุผลว่าจะลักลอบเข้ามาเพื่ออะไร ถ้าจะเข้ามาจริงๆก็น่าจะเข้ามาอย่างเปิดเผยเลย ส่วนที่ระบุว่ายังมีคลื่นใต้น้ำทางภาคเหนือนั้น ตอนนี้ทุกคนยอมรับกติกากันหมดแล้ว ยืนยันว่าเรื่องคลื่นใต้น้ำทางภาคเหนือนั้นไม่มี ส่วนตัวก็ไม่ลงพื้นที่ ไม่ออกจากบ้านเลยเพื่อให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ สำหรับการดำเนินการทางการเมืองขณะนี้นั้น ยังไม่ได้ติดต่อกับทางพรรค ตอนนี้หัวหน้าพรรคก็ยังเป็นเพียงรักษาการ เราไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร

-เด็กพ่อมดดำชี้"แม้ว"โดนเล่นแน่

น.พ.สุทธิชัย จันทร์อารักษ์ อดีตส.ส.ยโสธร พรรคไทยรักไทย กลุ่มพ่อมดดำ กล่าวถึงกระแสข่าวอดีตแกนนำพรรคเตรียมตั้งพรรคใหม่ว่า วันนี้ยังมั่นใจว่าบุคลากรของพรรคเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความเป็นไทยรักไทยไม่ได้เจือจาง แตกแยกหรือล่มสลาย ทุกวันนี้อดีตส.ส.ของพรรคจากทุกกลุ่ม คุยโทรศัพท์และนัดรับประทานกันเป็นประจำ เพื่อนำความไปรายงานหัวหน้ากลุ่มของตัวเองทราบ

น.พ.สุทธิชัย กล่าวว่า อนาคตของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงไม่มีโอกาสกลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้งเพราะคงถูกคตส.เล่นงาน และผลพวงจากคดียุบพรรค จากการพูดคุยของสมาชิกเห็นว่าในส่วนของคตส.นั้น พ.ต.ท.ทักษิณน่าจะมีความผิดในกรณีดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอำนวยการเร่งรัดการก่อสร้างโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ เพราะตามหลักแล้วห้ามนายกฯเป็นบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ส่วนประเด็นการทุจริต คิดว่าเอาผิดยาก เพราะไม่มีเอกสารหลักฐานการสั่งการ เนื่องจากส่วนใหญ่สั่งโดยวาจา ดังนั้น ความผิดคงอยู่ที่ระดับผู้ปฏิบัติการมากกว่า สำหรับคดียุบพรรคนั้นน่าจะโดนเต็มๆ รวมถึงตัวละครที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งพล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา และนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล โดยทั้ง 3 คนอาจถูกเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี ขณะที่กรรมการบริหารคนอื่นน่าจะรอด หากเส้นทางการเมืองของพ.ต.ท.ทักษิณปิดฉากลง เราจะหาหัวหน้าพรรคที่เป็นลูกหม้อไทยรักไทย พร้อมยึดนโยบายของพรรคเป็นหลัก

-วังพญานาคดอดพบ"ป๋าเหนาะ"


รายงานข่าวจากกลุ่มวังพญานาค เปิดเผยว่า ในการหารือและร่วมรับประทานอาหารกับนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ที่บ้านพักเมืองทองธานี เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ซึ่งมีแกนนำกลุ่มประกอบด้วยนายพินิจ จารุสมบัติ , นายสุวิทย์ คุณกิตติ , นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ และนายสุธรรม แสงประทุม รวมถึงพล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร นั้น เห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องรอดูสถานการณ์ เงื่อนไขทางการเมืองและเนื้อหารายละเอียดของรัฐธรรมนูญใหม่ก่อน รวมทั้งความเป็นไปได้ในการตั้งพรรคใหม่ในอนาคต

นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ยอมรับว่าการไปกินข้าวกับนายเสนาะ โดยพูดคุยเรื่องการเมืองทั่วไปและแลกเปลี่ยนความรู้ ขณะนี้ตนไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะยังต้องรอดูรัฐธรรมนูญ ขออยู่เฉยๆ เมื่อถามถึงกระแสข่าวการหารือกันระหว่างกลุ่มวังพญานาค และฝ่ายทหารในการร่วมมือทางการเมืองในอนาคต นายปรีชา กล่าวว่า ที่ผ่านมาทางกลุ่มอยู่เฉยๆ เรานิ่ง ไม่ทราบว่ามีหรือไม่ เราไม่ได้ทำอะไรเลย

-ยกให้"พินิจ"ตัดสินใจอนาคต

ด้านนายเอกภาพ พลซื่อ อดีตส.ส.ร้อยเอ็ด กลุ่มวังพญานาค กล่าวว่า ขณะนี้อดีตส.ส.ในกลุ่มได้แยกย้ายกันลงพื้นที่เพื่อดูแลชาวบ้านตามปกติ ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะมีทิศทางอย่างไรต่อไป โดยมอบอำนาจให้นายพินิจเป็นผู้ตัดสินใจ ไม่ว่าอนาคตจะมีทิศทางอย่างไร อดีตส.ส.ในกลุ่มจะเห็นไปในทิศทางเดียวกัน เท่าที่ประเมินเรามีอดีตส.ส.ในกลุ่มประมาณ 40-50 คน ส่วนกระแสข่าวที่กลุ่มอาจตั้งพรรคใหม่โดยประสานกับฝ่ายทหารนั้น ถ้ามีการทาบทามจริงคงต้องคุยกับนายพินิจ เรื่องนี้ตนไม่ทราบเพราะที่ผ่านมานายพินิจแจ้งกับอดีตส.ส.ในกลุ่มว่า หากมีประเด็นทางการเมืองใดๆจะนำมาหารือกันในกลุ่มเสมอ แต่จนถึงขณะนี้นายพินิจยังไม่ได้แจ้งข้อสรุปใดๆ วันนี้นายพินิจ ทำหน้าที่สนช.ที่มีทหารอยู่ในสภากว่าครึ่ง การพูดคุยหรือรับฟังเรื่องใดๆกับฝ่ายทหาร คงไม่ใช่เรื่องแปลก

-โคทม"เตือนอย่าเป็นรัฐราชการ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการอภิปรายนโยบายรัฐบาลในช่วงเย็น นายโคทม อารียา สมาชิกสนช. อภิปรายว่า ขอให้ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมของรัฐบาล เป็นประชาธิปไตยแบบถกเถียงอภิปราย สื่อสารสองทาง แลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเสริมสร้างประชาชน ให้ช่วยเหลือพึ่งพาตนเองมากกว่ารอความช่วยเหลือจากราชการ รัฐบาลชุดนี้มีรัฐมนตรีที่เป็นอดีตข้าราชการเป็นส่วนใหญ่ ต้องพยายามไม่ให้ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลเพื่อราชการ แต่เป็นรัฐบาลเพื่อประชาชนและขอให้นำเรื่องเด็กและเยาวชนเป็นวาระแห่งชาติ เพราะปัจจุบันการวิจัยพบว่าเด็กไทยไอคิวและอีคิวต่ำ หากมีความด้อยทางสติปัญญาและอารมณ์ ไปแข่งกับใครก็เสียเปรียบ

นายสุริชัย หวันแก้ว สมาชิกสนช. อภิปรายว่า ในคำแถลงนโยบาย เน้นเรื่องบทบาทองค์กรภาคประชาชนและภาคประชาสังคมควบคู่กับระบบราชการ แต่กลับไม่เน้นการพัฒนาศักยภาพของระบบราชการ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระบบราชการของเราถูกส่งเสริม และบีบบังคับให้รับใช้ระบบพาณิชย์ และระบบผลประโยชน์ จึงควรให้ความสำคัญส่วนนี้ด้วย

-"ณรงค์-สมเกียรติ"หวดรบ.แม้ว

นายณรงค์ โชควัฒนา สมาชิกสนช. อภิปรายว่า ภารกิจสำคัญรัฐบาลต้องชี้แจงเหตุผลของการยึดอำนาจต่อประชาชนโดยเร็ว มิเช่นนั้นคมช. สนช. และรัฐบาล จะมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมต่อสายตาชาวโลก ขอให้เร่งรัดปราบปรามขุดคุ้ยเอาคนทำผิดทุจริตมาลงโทษให้ได้ อย่าให้คนชั่วย่ามใจ หากปล่อยพวกนี้เข้าสู่ระบบพรรคการเมืองอีก จะมีการถอนทุน แล้วจะมีรัฐประหารไม่จบสิ้น รัฐบาลต้องผลักดันและสนับสนุนการทำงานของคตส. อย่าปล่อยให้คนในรัฐบาลด้วยกัน เข้าข้างคนผิดโดยเด็ดขาด

นายสมเกียรติ อ่อนวิมล สมาชิกสนช. อภิปรายว่า ตนเคยรวบรวมความผิดของพ.ต.ท.ทักษิณได้ 4-5 เรื่อง ทั้งหมดเป็นความจริงแต่ไม่สามารถเอาผิดได้ เพราะเขาใช้อำนาจทางธุรกิจเอาเปรียบด้านกฎหมาย โดยใช้เสียงข้างมากในสภาในรัฐบาลทักษิณ 2 แก้ไขพ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมใน 5 มาตรา เช่น แก้ไขสัดส่วนผู้ถือหุ้นในกิจการโทรคมนาคมของไทยให้สามารถถือหุ้นได้มากถึง 45 % เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าการทุจริตตามกติกาถือเป็นความถูกต้อง ต่อมาพ.ต.ท.ทักษิณขายกิจการให้กองทุนเทมาเส็กของสิงคโปร์ สร้างรายได้ถึง 7.3 หมื่นล้านบาทในทันที แต่หากไม่ได้แก้ไขกฎหมายจะขายได้เพียง 20 % หรือแค่ 3 หมื่นกว่าล้านบาท ความผิดนี้ชัดเจนมาก สมควรถูกลงโทษตามกฎหมาย และได้รับการประณามจากสังคม

-วิจิตรแจงวุ่น-ยุบร.ร.วิถีพุทธ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากอภิปรายมาจนถึงเวลา 20.50 น. นายวิจิตร ศรีสอ้าน รมว.ศึกษาธิการ ได้ชี้แจงว่า นโยบายที่หลายคนบอกว่าเป็นภาพกว้างนั้น ความจริงได้จัดลำดับความสำคัญและสิ่งที่จะทำได้ในระยะเวลาปีเศษเป็นหลัก หลังจากแถลงนโยบายแล้วจะไปทำแผนปฏิบัติการให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ส่วนเรื่องการปฏิรูปการศึกษา นายกฯได้ย้ำให้ใช้คุณธรรมนำความรู้ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก และพ.ร.บ.ปฏิรูปการศึกษาปี 2542 ก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่ไม่ได้ถูกยกเลิกไปตามรัฐธรรมนูญ

นายวิจิตรชี้แจงถึงกรณีที่มีตัวแทนคณะสงฆ์คือ มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร.) และมหามงกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) รวมไปถึงพุทธศาสนิกชนมาร้องเรียนและแจ้งข้อกังวลที่ศธ.จะเปลี่ยนโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ เป็นวิถีธรรมว่า ขอยืนยันว่าจะไม่ยกเลิกโรงเรียนวิถีพุทธอย่างแน่นอน แต่จะส่งเสริมให้มีมากยิ่งขึ้น เข้าใจดีว่าทุกฝ่ายปรารถนาดี แต่ข้อเสนอแนะดังกล่าวก็สร้างความเดือดร้อนให้ตน เพราะไม่ได้เป็นดำริของนายกฯหรือจากศธ. แต่เป็นข้อเสนอที่มาจากประชาชน ผู้อำนวยการเขตพื้นที่การศึกษา (ผอ.สพท.) ทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงข้อเสนอในเบื้องต้น ยังไม่ได้ลงมือทำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกได้อภิปรายกันมาจนกระทั่งเวลา 21.00 น. รวมเวลา 11 ชั่วโมงกว่า แต่ยังเหลือสมาชิกที่แสดงความจำนงอภิปรายอีก 8 คน โดยนายกฯและรัฐมนตรีรอชี้แจงอีก ซึ่งคาดว่าการอภิปรายฯน่าจะเสร็จสิ้นในเวลาประมาณ 24.00 น.


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์