พาณิชย์ขู่ปล่อยนํ้าอัดลมขึ้น

บีบรัฐลดราคานํ้าตาลทราย ยอดใช้6เดือนเพิ่มขึ้น24%
   
นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการ ค้าภายใน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคว่า

ผู้ผลิตน้ำอัดลมเตรียมขอปรับขึ้นราคาขายน้ำอัดลม หากรัฐบาลไม่ยอมปรับราคาน้ำตาลทรายลงหลังจากใช้หนี้กองทุนอ้อยและน้ำตาลหมด ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตเคยขอ ปรับขึ้นราคาเข้ามาตั้งแต่ปี 51 ช่วงที่รัฐบาล  ประกาศขึ้นน้ำตาลทรายกก.ละ 5 บาท แต่กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้อนุมัติ และขอความร่วมมือผู้ผลิตให้ตรึงราคามาตลอด ดังนั้นถ้าเกิดกองทุนฯ ใช้หนี้หมด และรัฐบาลไม่ปรับลดราคาน้ำตาล ผู้ผลิตก็จำเป็นต้องขอปรับราคาขายใหม่
    
ส่วนกรณีกระทรวงพาณิชย์มีความ เห็นต่างจากกระทรวงอุตสาหกรรม ในเรื่องระยะเวลาสิ้นสุดของการใช้หนี้เงินกองทุนฯ

ที่  กระทรวงพาณิชย์คาดว่าใช้หนี้ครบเดือนพ.ย. 53 แต่กระทรวงอุตสาหกรรมคาดว่าสิ้นสุดปี 54 คงไม่ต้องหารือแล้ว เพราะนายกรัฐมนตรีสั่งให้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณา โดยมีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะเรียกประชุมได้ในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้หนี้กองทุนฯอยู่ที่ประมาณ 24,000 ล้านบาท รวมดอกเบี้ย 4.57% ซึ่งเริ่มขึ้น ราคาน้ำตาลทรายกก.ละ 5 บาท และนำเงิน เข้ากองทุนฯ ตั้งแต่เดือน พ.ค. 2551 คาดว่า จนถึงเดือน พ.ย. 2553 จะมีเงินเข้ากองทุนฯ ประมาณ 27,000 ล้านบาท เกินกว่าหนี้ที่มี อยู่ด้วยซ้ำ
    
นางวัชรีกล่าวว่า สถานการณ์ราคาสิน ค้าอุปโภคบริโภคในขณะนี้ ผู้ประกอบการยังไม่ปรับขึ้นราคา

เพราะอยู่ระหว่างการขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าต่อไปจนถึงสิ้นเดือนก.ย.นี้ ส่วนสินค้า เหล็ก ที่ในช่วงที่ผ่านมา จะขอปรับขึ้นราคา เพราะราคาตลาดโลกช่วงที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นนั้น ขณะนี้ราคาได้ลดลงแล้วจึงชะลอการขอปรับขึ้นราคาไว้ก่อน ยกเว้นเหล็กเคลือบโครเมียม (ทินเพลต) ที่ใช้เป็นวัตถุดิบผลิตกระป๋องบรรจุอาหารนั้น ยังมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
    
ดังนั้นวันที่ 1 ก.ค.นี้ กรมฯ จะเชิญผู้นำเข้าทินเพลต ผู้ผลิตกระป๋อง รวมถึงผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป มาหารือถึงราคา

โดยนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ มีนโยบายให้ทินเพลตที่ใช้ผลิตกระป๋องที่บรรจุอาหารเพื่อส่งออกที่มีสัดส่วน 5% ของการใช้ทั้งหมดสามารถขึ้นราคาได้เพราะผู้ผลิตสามารถขึ้นราคากับผู้ซื้อต่างประเทศได้ ส่วนอีก 95% ที่ใช้ในประเทศก็ขอความร่วมมือตรึงราคาไว้ก่อน
    
นายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) กล่าวว่า

ที่ประชุมกอน.รับทราบปริมาณความต้องการใช้น้ำตาลในประเทศช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเฉลี่ย 24% ต่อเดือน รวมทั้งปีอยู่ที่ 24.4 ล้านกระสอบ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.7 ล้านกระสอบ หรือ คิดเป็น 23.9% ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่จัดสรรคไว้เดิมในโควตาก.หรือจำหน่ายในประเทศถึง 2.4 ล้านกระสอบ เนื่องจากความต้องการในภาคอุตสาหกรรมผลิตเครื่องดื่ม อาหารและขนม มีสูงมาก จึงต้องมีการจัดสรรเพิ่มเติม เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ
   
ขณะเดียวกันที่ประชุมได้รายงานสถานการณ์น้ำตาลในประเทศในช่วง 6 เดือน (ม.ค.-มิ.ย.)

มีปริมาณการจำหน่ย 11 ล้าน กระสอบ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.2 ล้านกระสอบ หรือ 23.9% โดยในเดือนก.พ.มีปริมาณการจำหน่าย 1.84 ล้านกระสอบเพิ่มขึ้น 32.45% และเดือนมิ.ย. มีปริมาณการจำหน่าย 2.16 ล้านกระสอบ เพิ่มขึ้น 66.3%   ที่ประชุมกอน.ได้มอบหมายให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเร่งไปซื้อน้ำตาลทราย โควตา ค. ที่ยังอยู่ในประเทศกลับคืนมา โดยต้องเร่งบริหารจัดการให้แล้วเสร็จภายในต้นเดือนก.ค.ก่อนที่น้ำตาลทรายจะถูกขนออกนอกประเทศ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งกลับเข้ามาอีกครั้ง.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์