ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลที่เคย"งอแงและมีข้อต่อรอง" เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีพรรคใดกล้าหืออือกับพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป
"บรรหาร ศิลปอาชา" หลังจากกลับจากเซี่ยงไฮ้ ท่าทีก็เปลี่ยนไป
สำคัญที่สุดคือ กระแสข่าวลือว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ กับ กองทัพ แตกคอกันอย่างรุนแรงก็ถูกปฎิเสธอย่างสิ้นเชิง
"สุเทพ เทือกสุบรรณ" รองนายกฯ โต้ข่าวลือว่า ข่าวแตกหักกับกองทัพ ไม่จริง
" ผมกับทหาร ประชุมร่วมกันทุกวัน นั่งหัวชนกัน กินข้าวหม้อเดียวกันมาเป็นเดือนแล้ว ไม่มีขัดแย้ง หรอกครับ" นายสุเทพ ยืนยัน
ขณะที่กระแสข่าวว่า เทพเทือก กับ "อภิสิทธิ์" มีความระหองระแหงกัน นับจากการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนมาถึงกรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
ผู้สังเกตการณ์ที่เห็น"เทพเทือก" คุยเล่นสนุกสนานกับ"นายกฯอภิสิทธิ์" ยืนยันได้อย่างดีว่า ความสัมพันธ์ของคู่นี้สุดปึ๊ก
บัดนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ กระชับความสัมพันธ์ในพรรคร่วมรัฐบาลได้อย่างอยู่หมัด มิหน่ำซ้ำรัฐบาลยังมี"กองทัพ" เป็นกำแพงเหล็กที่หนุนหลัง อย่างมั่นใจ
นาทีนี้ บทวิเคราะห์ที่ออกจากพรรคประชาธิปัตย์ คือ รัฐบาลมีแข็งแกร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่ยี่หระต่อศึกซักฟอกของฝ่ายค้าน ด้วยซ้ำไป
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รัฐบาลแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เกิดจากเกมที่เหนือกว่าคนเสื้อแดง 4 ประการ
หนึ่ง รัฐบาลสร้างภาพให้การชุมนุมของคนเสื้อแดง กลายเป็นภาพลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนทั่วไปที่ติดตามข่าวสารผ่านสื่อรัฐ เชื่อโดยสนิทใจว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดง มีความรุนแรง มีการใช้อาวุธ ไม่ใช่การชุมนุม อย่างสันติ อหิงสา อย่างที่นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช. ประกาศไว้
สอง รัฐบาลช่วงชิงการนำเสนอภาพการใช้อาวุธสงครามของคนเสื้อแดง และภาพลบเกี่ยวกับการเผายาง ตลอดจนคลิปการเอาเด็กมาเป็นเกราะป้องกันม็อบ ภาพลบที่ถูกตอกย้ำผ่านสื่อของรัฐอย่างถี่ยิบ ตลอดทั้งวัน ทำให้ขบวนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง ในสายตาประชาชนเลวร้ายแบบสุดๆ
สาม กลุ่มผู้ชุมนุมก่อเหตุเผาบ้านเผาเมืองสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างรุนแรง ทั้ง ห้างสรรพสินค้า ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง และอาคารต่างๆ 35 จุดทั่วกรุงเทพ อัดซ้ำ ด้วยภาพป่าเถื่อนของเสื้อแดงที่บุกเผาช่อง 3 รวมถึงภาพการเผาศาลากลาง 4 จังหวัด ที่คนเริ่มรับไม่ได้
สิ่งที่ได้ผลดีเกินคาด คือ การนำคลิป พ.ต.ท.ทักษิน ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่รัฐบาลเชื่อว่า ยังบงการแกนนำ นปช.อยู่ และแกนนำคนเสื้อแดง บนเวที ที่สั่งเผา -ปล้นสะดม ตามทฤษฎีตกใจ"เผา-ทำลาย"มาเผยแพร่ ทำให้คนเชื่อว่า การเผาเมืองมีการตระเตรียมการมาอย่างดี
สี่ การเปิดเกมรุกของรัฐบาลที่เชิญ ทูตและตัวแทน 51 ประเทศ ตลอดจนสื่อต่างชาติ มาดู อาวุธสงคราม จำนวนมาก ที่ตรวจพบในพื้นที่ชุมนุมของคนเสื้อแดง เป็นการตอกย้ำว่า นี่คือ การก่อการร้ายอย่างแท้จริง
สงครามจิตวิทยาของรัฐบาลที่ได้ผล ทำให้ทัศนะที่มีต่อการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลเปลี่ยนไป
แม้แต่"อิตาลี" ก็ไม่ตำหนิรัฐบาลไทย ที่นักข่าวของเขาต้องมาตายกลางกรุงเทพ
ทว่า ชัยชนะของรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่มีต่อคนเสื้อแดง ก็ใช่ว่า จะยั่งยืน ยาวนาน หากรัฐบาลละเลยเพิกเฉยต่อ เงื่อนไขสำคัญ 5 ประการ ดังนี้
หนึ่ง คือ การเยียวยาความเสียหายของผู้ประกอบ นักธุรกิจรายย่อยและคนงานจำนวนหมื่นจำนวนแสน ที่ได้รับความเดือดร้อนและเสียหายจากการชุมนุม จะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและจริงจัง ไม่อาจใช้ระบบราชการแบบเช้าชามเย็นชามได้ เพราะยิ่งเนิ่นนาน ปล่อยให้มีการกินค่าหัวคิว ภาพรัฐบาลจะเสื่อมทรุดอย่างรวดเร็ว กระแสจะตีกลับ จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้
สอง การรักษาความสงบเรียบร้อยทั่วประเทศไม่ให้สงครามใต้ดินปะทุขึ้นมากลายเป็นสงครามรอบใหม่ที่ยากจะควบคุม
สาม การดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดง จะต้องดำเนินการอย่างจริงจังและโปร่งใส ไม่มีคำว่า สองมาตรฐาน
สี่ การแต่งตั้งคณะกรรมการกลางตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน 22 เมษายน 28 เมษายนและ วันที่ 19 พฤษภาคม จะต้องเป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป และกระบวนการตรวจสอบต้องเป็นไปอย่งโปร่งใส หากไม่เช่นนั้นแล้ว สงครามจิตวิทยาที่รัฐบาลสร้างมาทั้งหมด จะกลายเป็นแค่เรื่องโกหก
ห้า แผนปรองดองของรัฐบาล จะต้องทำให้เป็นจริง ไม่ใช่แค่เกมซื้อเวลา หากรัฐบาลเดินหน้าอย่างจริงจัง โอกาสที่จะอยู่ครบเทอมก็เป็นได้มาก
หก รัฐบาลจะต้องเปิดให้สื่อมีเสรีภาพ เดินหน้าสู่การปฎิรูปสื่ออย่างจริงจัง และในเวลาที่เหมาะสมรัฐบาล จะต้องเปิดช่องหรือเวทีให้สื่อของคนเสื้อแดงได้เผยแพร่แนวคิดที่ไม่ใช่ความรุนแรง
หากรัฐบาล ดำเนินการได้ตาม เงื่อนไข 6 ประการ โอกาสที่จะอยู่ยาวกว่า 4 เดือนก็มีความเป็นไปได้
แต่ถ้าทำไม่ได้ หลังเลิกประกาศเคอร์ฟิว รัฐบาลก็จะค่อยๆ แตกจากภายใน และพบอวสานในเวลาอันรวดเร็ว !!!