เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญพิสูจน์มติ ก.ตร.ดันทุรังอุ้ม3นายพลหรือ "อภิสิทธิ์" ดื้อตาใส แม้ที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2553 จะยืนยันตามมติเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2552 ให้ยกเลิกโทษให้กับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจจังหวัดอุดรธานี กรณีที่บุคคลทั้งสามซึ่งถูกลงโทษปลดจากราชการเนื่องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติชี้มูลว่า บุคคลทั้งสามกระทำผิดอาญาและวินัยร้ายแรง ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์การสลายการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551(กรณี พล.ต.อ.พัชรวาทและ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว) และเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกับ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. (กรณี พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์)
โดยให้ส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรีนำเข้าคณะรัฐมนตรีส่งศาลให้รัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 214 เนื่องจากมีติ ก.ตร.(ต้องให้คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกับ ก.ตร.)และเป็นผู้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญขัดแย้งกับมติ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ จึงเข้าข่ายความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐสภา คณะรัฐมนตรีหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มิใช่ศาลตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป
แต่ปรากฏว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรียังคงยืนยันความเห็นเดิมเช่นกันว่า ก.ตร.ไม่สามารถมีมติให้นายตำรวจทั้งสามนายกลับเข้ารับราชการได้เพราะขัดแย้งกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพราะเคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่า ก.พ.ไม่สามารถมีมติให้อดีตอดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์กลับเข้ารับราชการได้เพราะขัดแย้งกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.ที่ระบุว่า ผิดวินัยร้ายแรงต้องไล่ออกหรือปลดออกเท่านั้น
ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 92 ระบุว่า เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐผู้ใดทางวินัยแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาพิจาณณาลงโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติโดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีก และให้ถือรายงานเอกสารและความและความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยตามกฎหมายหรือระเบียบหรือข้อบังคับว่าด้วยการบริหารบุคคลของผู้ถูกกล่าวหานั้นๆแล้วแต่กรณี
นอกจากผู้บังคับบัญชาต้องลงโทษตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติแล้ว การอุทธรณ์การลงโทษดังกล่าว มาตรา 96 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันยังระบุว่า อุทธรณ์ได้แค่"ดุลพินิจในการสั่งลงโทษ"ของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น กล่าวคือ สามารถอุทธรณ์ให้ลดระดับการลงโทษได้ เช่น จากไล่ออกเป็นปลดออกในกรณีมีความผิดทางวินัยร้ายแรง ไม่สามารถอุทธรณ์ฐานความผิดได้
ดังนั้น ถ้านายอภิสิทธิ์ไม่นำมติ ก.ตร.ที่ขัดแย้งกับมติคณะกรรมการ ป.ป.ช.เข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี ก.ตร.ก็ไม่สามารถนำเรื่องขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญมาตรา 214 ได้
เปิดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญพิสูจน์มติ ก.ตร.ดันทุรังอุ้ม3นายพลหรือ อภิสิทธิ์ ดื้อตาใส
จากกรณีดังกล่าวมาพลิกดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิสูจน์ว่า ก.ตร.ดันทุรังมีมติอุ้ม 3 นายพลสีกากีหรือนายอภิสิทธิ์ดื้อตาใส
คำวินิจฉัยที่ 2/2546 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2546
เรื่อง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ
๑. ข้อเท็จจริงและเอกสารประกอบคำร้อง สรุปได้ว่า
๑๑ ณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไต่สวนและวินิจฉัยตามอำนาจหน้าที่ ที่บัญญัติไว้โดยรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐๑ (๓) ว่า นายชูศักดิ์ รองสวัสดิ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์สารสนเทศการประชาสัมพันธ์ กรมประชาสัมพันธ์ กรณีได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเช่าคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบ และนายวีรพล ดวงสูงเนิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ ปฏิบัติ ราชการแทนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในส่วนของศูนย์สารสนเทศการประชาสัมพันธ์ ได้ร่วมกัน แก้ไขเพิ่มเติมข้อความในบันทึกของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคา ตามบันทึก ศูนย์สารสนเทศการประชาสัมพันธ์ ซึ่งผ่านการตรวจรับรองจากหัวหน้าฝ่ายพัสดุ และผู้อำนวยการกองคลังแล้วโดยเปลี่ยนแปลงข้อความในหน้า ๒ และ ๓ จากเดิมที่เสนอให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ยกเลิกการประกวดราคา เป็นขออนุมัติให้เช่าคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบจากบริษัท กรุงเทพ โอ.เอ.คอมส์ จำกัด และใช้ลายมือชื่อของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาในหน้า ๔ มาประกอบในบันทึก ที่แก้ไขดังกล่าว
โดยกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาบางรายซึ่งรวมถึงหัวหน้าฝ่ายพัสดุ ไม่ยินยอม อันเป็นการช่วยเหลือบริษัทกรุงเทพ โอ.เอ.คอมส์ จำกัด ที่เสนอราคาผิดเงื่อนไข การประกวดราคาตามข้อกำหนดของกรมประชาสัมพันธ์ โดยมิได้ส่งเรื่องให้หัวหน้าฝ่ายพัสดุตรวจพิจารณาอีก เป็นเหตุให้นายวิจิตร วุฒิอำพล อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในขณะนั้นหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริงของคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาและผ่านการตรวจรับรองจากหัวหน้า ฝ่ายพัสดุ และผู้อำนวยการกองคลังแล้ว จึงได้อนุมัติให้เช่าคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ส่วนควบจากบริษัทกรุงเทพ โอ.เอ.คอมส์ จำกัด
นายชูศักดิ์ รองสวัสดิ์ และนายวีรพล ดวงสูงเนิน จึงมีความ ผิดวินัย ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการและฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบ ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘วรรคสอง และมีความผิดอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดย ทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น
คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงส่งรายงานการไต่สวนไปยังปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ และส่งเอกสารและความเห็นในส่วนคดีอาญาไปยังอัยการสูงสุดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙๒ และ มาตรา ๙๗
๑.๒ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาได้พิจารณาโทษตามฐานความผิดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ โดยมีคำสั่งลงโทษไล่ นายวีรพล ดวงสูงเนิน ออกจากราชการ อันเป็นการปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๓
ต่อมา ผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๓ ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาดังกล่าว ไปยังคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ทั้งนี้โดยอาศัยบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๖ และในการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกลงโทษ ก.พ. ได้แก้ฐานความผิดจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้วินิจฉัยตามอำนาจหน้าที่ที่บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐๑ (๓) ว่า นายวีรพล ดวงสูงเนินมีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ มาตรา ๘๒ วรรคสาม และมาตรา ๙๘ วรรคสอง เป็นฐานความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรงตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ มาตรา ๘๔วรรคหนึ่ง และมาตรา ๘๕ วรรคหนึ่ง จากนั้นคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติให้ นายวีรพล ดวงสูงเนิน กลับเข้ารับราชการ ตามมติ ก.พ.
๑.๓ ในการพิจารณาอุทธรณ์แทนที่ ก.พ. จะพิจารณาเพียงดุลพินิจในการสั่ง ลงโทษของผู้บังคับบัญชา คือ แทนที่จะพิจารณาว่า สมควรจะยกอุทธรณ์โดยยืนคำสั่งลงโทษไล่ออก หรือเห็นว่า อุทธรณ์ฟังขึ้นในระดับโทษให้เปลี่ยนโทษจากไล่ออกเป็นปลดออก เพราะ ก.พ. จะต้องคงฐานความผิดตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติไว้ ตามความในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๒
แต่ ก.พ. กลับไปพิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริง มิได้พิจารณาในเรื่องการใช้ดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาตามที่กฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ ซึ่งเป็นการพิจารณาที่ขัดแย้งไม่เป็นไปตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๖ ซึ่งให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาที่ถูกลงโทษอุทธรณ์ได้เฉพาะดุลพินิจในการสั่งลงโทษของ ผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
มิใช่ ก.พ. จะมีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์โดยใช้ดุลพินิจได้อย่างกว้างขวาง ทุกกรณีตามที่ ก.พ. อ้าง เพราะอำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์โดยใช้ดุลพินิจได้อย่างกว้างขวาง ต้องเป็นการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาตามปกติที่อาศัยอำนาจของผู้บังคับบัญชาโดยตรง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ มิใช่การสั่งลงโทษตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
การใช้อำนาจของ ก.พ. ในการพิจารณาอุทธรณ์กรณีนี้เป็นอำนาจที่มาจาก พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๖ จึงจะต้องพิจารณาอยู่ในกรอบของบทบัญญัติและเจตนารมณ์ ของ พ.ร.ฐ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ มาตรา ๙๖ เท่านั้น
การพิจารณานอกกรอบ มาตรา ๙๖ จึงเป็นการกระทำที่ขัดแย้งหรือโต้แย้งอันเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญเพราะไม่ถือปฏิบัติตามบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ ดังกล่าว
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า
การอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ และการอุทธรณ์ตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ ใช้คำว่า "อุทธรณ์ดุลพินิจในการสั่งลงโทษ" ขณะที่ พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ ใช้คำว่า "อุทธรณ์คำสั่งลงโทษ"
การใช้สิทธิอุทธรณ์ของ ผู้ถูกกล่าวหา อันเนื่องมาจากการลงโทษทางวินัยของผู้บังคับบัญชาตามฐานความผิดที่คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติ มิใช่ฐานความผิดจากการสอบสวนวินัยโดยผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาเอง และมิใช่กรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกสั่งลงโทษตามพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน ฯ
การอุทธรณ์ จึงต้องอยู่ในขอบเขตที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ฯ บัญญัติไว้ โดยมีสิทธิอุทธรณ์ดุลพินิจ ในการสั่งลงโทษของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น กล่าวคือ อุทธรณ์ได้เฉพาะระดับโทษตามฐานความผิด ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติ
องค์กรกลางในการบริหารงานบุคคลของผู้ถูกกล่าวหา (ก.พ.) และองค์กร ที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาตามขั้นตอนต่อจากกระบวนการที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการสมบูรณ์เสร็จสิ้นแล้ว จึงมีอำนาจพิจารณาเฉพาะเรื่องดุลพินิจในการสั่งลงโทษของผู้บังคับ บัญชาหรือผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนตามฐานความผิดเดิมที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเท่านั้น
การที่องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์ใช้อำนาจหน้าที่ล่วงล้ำ หรือกระทบกระเทือนอำนาจหน้าที่ที่ รัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองว่า เป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นการเฉพาะ โดยการวินิจฉัยในปัญหาข้อเท็จจริงใหม่ แล้วเปลี่ยนฐานความผิดเพื่อกำหนดโทษใหม่ จึงไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลรัฐธรรมนูญโดยตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก จำนวน ๘ คน คือ นายจิระ บุญพจนสุนทร พลโท จุล อติเรก นายมงคล สระฏัน นายสุจิต บุญบงการ นายสุวิทย์ ธีรพงษ์ นายอนันต์เกตุวงศ์ นายอมร รักษาสัตย์ และนายอุระ หวังอ้อมกลาง วินิจฉัยว่า อำนาจ หน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนและวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและวินิจฉัยแล้วเป็นอันยุติ ดังนั้น องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์จึงพิจารณา เปลี่ยนแปลงฐานผิดทางวินัย ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยแล้วไม่ได้
ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างน้อย จำนวน ๕ คน คือ นายกระมล ทองธรรมชาตินายจุมพล ณ สงขลา นายปรีชา เฉลิมวณิชย์ นายผัน จันทรปาน และนายศักดิ์ เตชาชาญ วินิจฉัยให้ยกคำร้องเนื่องจาก กรณีตามคำร้องไม่ใช่กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ ขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๖ บัญญัติ ประกอบกับประเด็น ตามคำร้องที่ขอให้วินิจฉัยอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในการไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและวินิจฉัยแล้วยังไม่เป็นอันยุติ เนื่องจากรัฐธรรมนูญ มาตรา๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) ไม่ได้บัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจ "วินิจฉัยชี้ขาด" กรณีตามคำร้อง จึงทำให้อำนาจดังกล่าวไม่เด็ดขาด ดังนั้น ผู้ถูกลงโทษจึงมีสิทธิอุทธรณ์และองค์กร ที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาเปลี่ยนแปลงฐานความผิดทางวินัยได้ตามอำนาจหน้าที่ตามที่ กฎหมายบัญญัติไว้
อาศัยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยว่า อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการป.ป.ช. ในการไต่สวนและวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓๐๑ วรรคหนึ่ง (๓) เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและวินิจฉัยว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริต ต่อหน้าที่จึงเป็นอันยุติ
ดังนั้น องค์กรที่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่อาจพิจารณาเปลี่ยนแปลง ฐานความผิดทางวินัยตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. วินิจฉัยยุติแล้ว ให้เป็นประการอื่นได้อีก
คำวินิจฉัยของศาลดังกล่าวชัดเจนชนิดไม่ต้องตีความอีก แต่น่าสงสัยว่า ทำไม ก.ตร.จึงยังดันทุงรัง ทั้งที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคห้าบัญญัติไว้อย่างชัดเจนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ(รวมทั้ง ก.ตร.ด้วย)
แม้จะมีการอ้างว่า ศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว เป็นศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะบทบัญญัติใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ในเรื่องนี้มิได้มีการเปลี่ยนแปลง มิหนำซ้ำกลับยกสถานะของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญให้มีลำดับศักดิ์เหนือกว่า พ.ร.บ.ทั่วไปซึ่งรวมถึง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 อีกด้วย



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday