ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต. กล่าวเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม
ถึงการพิจารณาสำนวนเงิน 258 ล้านบาทที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าวหาได้รับจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่ขัดต่อพ.ร.บ.พรรคการเมืองว่า มติที่ออกมาไม่ได้เป็นเหตุผลส่วนตัว แต่กกต.ปฏิบัติตาม มาตรา 95 ของพ.ร.บ.พรรคการเมือง ซึ่งแตกต่างจากพ.ร.บ.เลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว. ดังนั้น กรณีนี้ต้องให้นายทะเบียนพรรคการเมือง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต.) ทำความเห็นมาก่อน กกต.จึงพิจารณาว่าเห็นด้วยหรือไม่ ขอว่ายืนยันไม่ใช่การโยนเรื่อง หากสงสัย ก็ลองไปถามผู้ร่าง เพราะพ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 กับปี 2550 แตกต่างกัน โดยของปี 2550 บัญญัติว่า เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นจะยุบพรรคการเมือง ต้องได้รับความเห็นชอบจากกต.ก่อน แต่หากนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่า ต้องยกคำร้องจะจบที่ประธานกกต.ทันที ไม่ต้องนำเข้าที่ประชุม กกต.เป็นไปตามกฎหมายชัดเจน ทั้งนี้หากจะแก้กฎหมายก็เป็นเรื่องของสภา
เมื่อถามว่า หากกกต.เสียงส่วนใหญ่ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่นายทะเบียนพรรคการเมืองให้ยกคำร้อง ต้องยุติเรื่องใช่หรือไม่
นางสดศรี กล่าวว่า เราไม่ได้มองในลักษณะนั้น แต่มองว่าเห็นสมควรทำตามมาตรา 95 ของ พ.ร.บ.พรรคการเมืองให้ถูกต้อง และยังไม่มีความเห็นว่าจะให้ยุบหรือยกคำร้อง และที่ประชุม กกต.เห็นว่าพยานหลักฐานที่สอบมาได้แค่นี้ ดังนั้น ถ้าสอบเพิ่มอีก จะถูกหาว่ายื้อเวลาทำให้เรื่องจึงจบ แต่ประธานกกต.กลับทำข้ามขั้นตอนโดยเสนอให้ลงมติ เมื่อลงมติจึงทำให้เสียงข้างมากออกมาแบบนี้ เราต้องการให้ดำเนินการอย่างถูกต้อง เชื่อว่านายทะเบียนพรรคการเมืองน่าจะเสนอความเห็นได้ภายในสัปดาห์นี้ เพราะพยานหลักฐานทุกอย่างมีเพียงพอแล้ว แต่หากเสนอภายในวันที่ 21 ธันวาคทนี้ เราก็พร้อม
เมื่อถามว่า ภาพลักษณ์กกต.เสียหรือไม่ เพราะมีผลสำรวจระบุไม่ค่อยเชื่อมั่นกกต. นางสดศรี กล่าวว่า
"ขึ้นอยู่กับมุมมองและพรรคการเมืองใดมีส่วนได้เสีย เราทำตามกฎหมาย ไม่ได้เข้าข้างใดข้างหนึ่ง เป็นเรื่องการกล่าวหา เราทำตามหน้าที่ ความโปร่งใสพิสูจน์ได้ในตัวบทกฎหมาย ส่วนที่มีการมองว่ากกต.ไม่เป็นเอกภาพนั้น เราถือว่าเป็นเรื่องประชาธิปไตย ใครจะชี้นำไม่ได้ ถ้าลงมติไม่เป็นเอกฉันท์ ต้องเป็นอย่างที่เห็น เพื่อไม่ให้มีการโต้เถียงกัน จึงมีความเห็นว่าให้นายทะเบียนพรรคการเมืองทำความเห็นมาก่อน"
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นถอดถอนกกต.เพราะสองมาตรฐาน นางสดศรี กล่าวว่า ก็แล้วแต่ สามารถยื่นถอดถอนได้
แต่ขอยืนยันว่ากกต.ได้ทำตามกฎหมาย เราจะทำตามอำเภอใจของพรรคใดพรรคหนึ่งไม่ได้ กฎหมายเขียนไว้อย่างไรเราก็ทำอย่างนั้น เราไม่ได้หนักใจหรือกดดันต่อการทำงาน เพราะตลอดระยะเวลาการทำงาน 3 ปี ที่ผ่านมาก็ลักษณะนี้มาโดยตลอด เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง อีกทั้งกกต.เป็นองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการเมือง การเมืองตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ผู้ที่รับบาปก็คือองค์กรอิสระ