เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์"
ถึงการแถลงผลงานรัฐบาล ในวันที่ 23 ธ.ค. ว่า จะมี 3 ส่วน คือส่วนภาพใหญ่ว่า 1 ปีที่ผ่านมาเราอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง แต่รัฐบาลยังบริหารงานได้ เดินหน้าผลักดันนโยบาย แก้ปัญหาประชาชนได้ ส่วนใครจะให้คะแนนเท่าใดก็เป็นมุมมอง แต่ไม่มีคำถามอีกว่ารัฐบาลไทยล้มเหลวทำงานไม่ได้ หรือที่มองว่ารัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แต่ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้สภาอาจจะล่ม แต่ก็เป็นรัฐสภาที่ผลักดันกฎหมาย และข้อตกลงระหว่างประเทศออกมาได้เยอะมาก การทำงานอาจไม่สวยงามราบรื่น แต่เราเดินหน้าทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
นายกฯ กล่าวว่า ส่วนที่สองคือ ในแง่วิกฤตที่กระทบกับคนมากที่สุด
คือเรื่องเศรษฐกิจ ต้นปีเราอยู่ในภาวะที่การส่งออก การท่องเที่ยวติดลบ ประมาณ 20-30% คนว่างงานอยู่ที่ 7-8 แสน วันนี้ตนยืนยันว่าตัวเลขจะกลับมาเป็นบวกภายในปลายปีนี้ ตนมั่นใจเพราะดูจากตัวเลขแต่ละไตรมาส การหดตัวเศรษฐกิจลดลง และปีหน้าจะเป็นบวก 3.5 ตัวเลขว่างงานลงมาเป็น 4.6 แสนคนหรือร้อยละ 1.2 ซึ่งต่ำมาก ส่วนที่สามคือ นโยบายเฉพาะหน้าหรือระยะยาว เราทำแล้ว เช่น เรียนฟรี การปฏิรูปการศึกษารอบสอง เรื่องผู้สูงอายุ คนพิการ เราเน้นระบบสวัสดิการชัดเจน นโยบายเหล่านี้เดินหมด การช่วยเหลือเกษตรกรที่พลิกจากระบบจำนำมาเป็นระบบประกันรายได้ ทำให้คนได้ประโยชน์มากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนปัญหาการเมืองยังไม่จบ เราพยายามแต่ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ในภาวะวิกฤตไม่มีประเทศไหนที่ไม่เป็นหนี้เพิ่มขึ้น
การใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เรารักษากำลังซื้อในประเทศ ทำให้ประเทศไม่ทรุด โครงการไทยเข้มแข็งทำให้เราเป็นหนี้แต่ก็จำเป็น ถ้าไม่ทำเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวประเทศก็เป็นหนี้อยู่ดี และปีหน้ารัฐบาลจะวางโครงสร้างรัฐให้ชัดเจนมากขึ้น รายได้ปีหน้าเพิ่มแน่ 3.5% ของคนทั้งประเทศเราทำได้
น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคขอประเมินผลงานรัฐบาล 1 ปี แก้ไข 3 ปัญหาใหญ่
1.ปัญหาเฉพาะหน้า สามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนกลุ่มต่างๆ ได้ 2.การแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยรวม รัฐบาลดำเนินโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งสร้างความเชื่อมั่น เกิดการจ้างงาน 1.5 ล้านตำแหน่ง ทำให้ตัวเลขจีดีพีในไตรมาสสุดท้ายจะกลับเป็นบวก และ 3.การแก้ปัญหาการเมือง ตามนโยบายสร้างความสมานฉันท์ ซึ่งรัฐบาลได้บรรลุข้อตกลงตามกรอบการทำงานคณะกรรมการสมานฉันท์ แต่การจะสัมฤทธิผลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยว่าจะยอมให้ประชาชนร่วมลงประชามติ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่