คมชัดลึก :นครบาล ส่งตำรวจ 230 นาย คุมเข้มสถานทูตกัมพูชา 24 ชั่วโมง ด้านกรมราชทัณฑ์ เตรียมเซนเซอร์ข่าวขัดแย้งไทย-เขมร ป้องกันปัญ หากระทบกระทั่งระหว่างผู้ต้องขังชาวกัมพูชากับผู้ต้องขังชาวไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
พล.ต.ต.สมวุฒิ วรรณพิรุณ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ตรวจความเรียบร้อยทั้งใน และนอกสถานทูตกัมพูชา ประจำประเทศไทย หลังเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยถูกเรียกตัวกลับประเทศ ซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลได้จัดกำลังตำรวจเพิ่มเติมจากเดิม ทั้งชุดปราบปรามจราจลจาก สน.ต่างๆ ในกองบังคับการตำรวจนครบาล 4 จำนวน 230 นาย โดยจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนมารักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง จัดไว้ทุกประตูทางเข้า-ออกสถานทูต และบริเวณพื้นที่โดยรอบ พร้อมนำแผงเหล็กปิดกั้นถึงแนวบาทวิถี รวมทั้งจัดเจ้าหน้าที่สังเกตการณ์บนอาคารสูงบริเวณใกล้เคียง หากประเมินว่าสถานการณ์ไม่ปกติ ก็ขอกำลังเสริมทันที
นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงการควบคุมดูแลผู้ต้องขังสัญชาติกัมพูชาในระหว่างที่ไทยมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับรัฐบาลกัมพูชา ว่า
เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาลุกลามมาถึงผู้ต้องขังในเรือนจำ ยอมรับว่าเรือนจำได้คุมตัวผู้ต้องขังชาวกัมพูชามีจำนวนมากพอสมควร การคุมขังไม่ได้แยกแยะสัญชาติ สามารถอยู่ร่วมกับผู้ต้องขังต่างชาติและผู้ต้องขังชาวไทยตามปกติ แต่จะกำชับไม่ให้มีการเผยแพร่ข่าวสารทั้งจากโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์เรื่องความขัดแย้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา
นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เปิดเผยว่า
แม้ว่าความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชาจะมีปัญหาอยู่ในตอนนี้ถึงขั้นมีการเรียนเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศไทย แต่การประชุมรัฐสภาในสัปดาห์หน้าซึ่งจะมีวาระการพิจารณาบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (เจบีซี) ที่รัฐบาลเสนอให้รัฐสภาพิจารณาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ยังคงเป็นไปตามปกติ เพราะถือว่าเป็นคนละกรณีกัน
เรื่องการตอบโต้ทางการทูตก็สามารถดำเนินได้ต่อตามความเห็นสมควรของฝ่ายบริหาร แต่สำหรับหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติเมื่อได้มีการบรรจุระเบียบวาระการพิจารณาเอาไว้แล้วก็จะต้องทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงยกเลิกระเบียบวาระดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลานี้ยังไม่มีดำริจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าให้มีการถอนเรื่องดังกล่าวออกจากการพิจารณาของรัฐสภาแต่ประการใด ดังนั้น การประชุมรัฐสภาก็ยังคงเป็นไปตามปกติซึ่งวิปรัฐบาลได้มีมติแล้วว่าจะให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันของกัน 2 สภาเพื่อพิจารณาบันทึกการประชุมเจบีซีร่วมกัน
“ การประชุมรัฐสภายังคงเป็นไปตามปกติตามที่ได้มีการบรรจุระเบียบวาระเอาไว้ แต่รัฐบาลจะรอฟังการอภิปรายของสมาชิกรัฐสภาว่าจะมีความเห็นอย่างไรก่อน จากนั้นรัฐบาลถึงจะมีการพิจารณาทบทวนอีกครั้ง ” นายชินวรณ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ในสัปดาห์หน้าจะประชุมร่วมกันของรัฐสภานอกเหนือไปจาการพิจารณาเรื่องบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (เจบีซี) ยังมีวาระอื่น ๆ ที่สำคัญ คือ การพิจารณาความตกลงการค้าระหว่างประเทศกับยูเครน กรอบการเจรจาพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลกและกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทยภายใต้การเจรจากับประเทศนอกกลุ่ม เป็นต้น ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมรัฐสภาเป็นเวลา 4 วัน ได้แก่วันที่ 9-10 พ.ย.และ 12-13 พ.ย.ยกเว้นเพียงวันที่ 11 พ.ย.ที่จะเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตามปกติ