ผงะ! MOUไทย-เขมร แม้วฮั้วขุมทรัพย์ทะเล

ไทยคดีศึกษาเปิดหลักฐานใหม่ ผงะ! "รัฐบาลทักษิณ" ดอดลงนาม "เอ็มโอยู" ร่วมกัมพูชาในปี 2544 แลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางทะเล แต่คนไทยไม่รู้ "วัลย์วิภา"


ระบุต่อจิ๊กซอว์เหตุหนุนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพื่อเปลี่ยนแผนที่เขตแดนทางบกสู่เปลี่ยนเขตแดนทางทะเล เอื้อประโยชน์เขมรและบริษัทน้ำมันต่างชาติ


เมื่อวันพุธ   ที่ห้องประชุมบุญชู  โรจนเสถียร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธิ ดร.ธวัช  มกรพงศ์ ร่วมกับมูลนิธินิติศาสตร์ศิลปศาสตร์  รุ่นแรก  จัดการอภิปรายทางวิชาการเรื่อง  "แผนการขยายอาณาเขตของกัมพูชาจากเขาพระวิหารสู่สะด๊อกก๊อกธม"  โดยมีนายสมปอง    สุจริตกุล อดีตเอกอัครราชทูตไทยและอดีตทนายความต่อสู้คดีปราสาทพระวิหารปี   2505   นายเทพมนตรี   ลิมปพยอม  นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี  นางทัศวี  สุวรรณวัฒน์  อดีตหัวหน้าภาควิชาภูมิศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ ผู้อำนวยการแผนงานวิจัยเรื่องเขตแดน สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  และนายสมิทธิ   ศิริภัทร  ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ศิลป์  มหาวิทยาลัยศิลปากร  เป็นวิทยากรร่วมเสวนา


ที่น่าสนใจในวงอภิปรายคือ   ม.ล.วัลย์วิภาได้เปิดเผยข้อมูลใหม่โดยระบุว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา   และมติของคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก  เป็นความพยายามในการรับรองแผนที่กัมพูชาทางบก ไม่ใช่แค่ปราสาทพระวิหารเป็นของใคร แต่เป็นไปเพื่อการเปลี่ยนเส้นเขตแดนทางบกเพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางทะเล  โดยเริ่มตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี


"ล่าสุดพบหลักฐานใหม่ว่า   พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางไปลงนามร่วมกับกัมพูชา   เมื่อวันที่  18 มิถุนายน 2544  และนายสุรเกียรติ์  เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้นเดินทางไปลงนามรับรองเอ็มโอยู หรือบันทึกความเข้าใจที่ว่าด้วยการอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา  เพื่อรับรองแถลงการณ์ร่วม  และให้มีการตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา  (JTC) โดยไทยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเป็นประธานร่วม และฝ่ายกัมพูชามีนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นประธาน" ม.ล.วัลย์วิภากล่าว

ม.ล.วิลย์วิภากล่าวต่อว่า  แต่ละฝ่ายประกอบด้วยผู้อำนวยการกองกฎหมาย  กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย  เป็นกรรมการและเลขานุการ  และมีกรรมการอื่นอีก 10 คน ทำหน้าที่เจรจาแบ่งเขตทางทะเลในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาร่วมกัน  บนพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และเจรจาในส่วนที่เกี่ยวกับการพัฒนาร่วม  โดยเฉพาะการแบ่งปันผลประโยชน์  ตามมติ ครม.วันที่ 19 กันยายน 2544 โดยไม่ได้ผ่านรัฐสภา


ผอ.งานวิจัยด้านเขตแดน  สถาบันไทยคดีศึกษา  กล่าวว่า คณะกรรมการดังกล่าวมีข้อสรุปร่วมกัน  5 ข้อ ลงนามบันทึกการประชุมเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2544 คือ


1.ในขณะนี้ ไทยมีประเด็นเรื่องเขตทับซ้อนทางทะเลกับกัมพูชาเพียงประเทศเดียวเท่านั้น  และเขตทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยกัมพูชานี้ เป็นเขตที่มีศักยภาพในด้านก๊าซธรรมชาติและน้ำมันสูงมาก   ซึ่งบริษัทน้ำมันต่างชาติได้ให้ความสนใจที่จะมาลงทุนด้วย ซึ่งในเรื่องนี้รัฐบาลของไทยและกัมพูชาต้องพิจารณาตกลงแก้ไขประเด็นต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นก่อน


2.การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการนำเอาบันทึกความเข้าใจระหว่างกัมพูชา     ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยกับกัมพูชาอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ทับซ้อนที่ได้มีการลงนามกันเมื่อวันที่  18 มิถุนายน 2544 มาสู่การปฏิบัติ  โดยมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา  โดยฝ่ายไทยมี รมว.ต่างประเทศเป็นประธาน  และฝ่ายกัมพูชามีนายซก อัน รัฐมนตรีอาวุโสประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เป็นประธาน


3.ในส่วนของฝ่ายไทยมีหน่วยงานอื่นๆ    เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการดังกล่าวด้วย  เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เนื่องจากสาระของการหารือนั้นเกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องการตกลงแบ่งเขตทางทะเลส่วนบนและการพัฒนาพื้นที่ร่วม เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ


4.การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการประชุมเต็มคณะครั้งแรกในรอบ   25 ปี ที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยจริงใจ  และไว้เนื้อเชื่อใจกัน หลังจากการประชุมดังกล่าวมีเนื้อหาสาระที่คณะกรรมการดังกล่าวต้องพิจารณาจำนวนมาก  จึงได้พิจารณาจัดตั้งคณะอนุกรรมการ โดยมีนายกฤษณ์ กาญจนกุญชร รองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานฝ่ายไทย และนายวาร์ คิม ฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชา เป็นประธานฝ่ายกัมพูชา


5.สาระสำคัญที่อนุกรรมการดังกล่าวต้องหารือกันคือ    เรื่องเทคนิคทางกฎหมายในการแบ่งเขตทางทะเล เช่น การลากเส้นแบ่งเขต และรูปแบบการพัฒนาพื้นที่ร่วม

"ดิฉันเพิ่งได้ข้อมูลบางชิ้นมา  เป็นจิ๊กซอว์ให้เห็นภาพได้อย่างต่อเนื่องยิ่งขึ้น  อะไรคั่งค้าง  ดิฉันขอตั้งข้อสังเกตคือ  ความผิดปกติในการทำเอ็มโอยูปี 2544 นั้น ถามว่าเรื่องนี้จะต้องมีการผ่านสภาให้เห็นชอบหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องเขตแดน มีผลต่ออาณาเขต แต่ประชาชนไม่เคยได้รับรู้"


ม.ล.วัลย์วิภากล่าวด้วยว่า  ส่วนเรื่องผลกระทบด้านพลังงาน จากการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนเมื่อวันที่   5  ส.ค. 51 ที่ผ่านมา  นายปราสาท  มีแต้ม  อาจารย์  ม.สงขลานครินทร์  ได้นำเสนอบทความเรื่องปิโตรธิปไตย  ท่านบอกว่ารัฐมนตรีพลังงานในสมัยรัฐบาลทักษิณ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช  ลงนามให้สัมปทานแหล่งพลังงานดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้ว มีการต่อสัญญาล่วงหน้าหลายปี  และบางบริษัทที่ได้รับสัมปทานก็ได้จดทะเบียนที่เกาะเคย์แมนซึ่งเป็นเกาะที่คนไทยคุ้นเคยดีในการเป็นแหล่งฟอกเงิน   มิหนำซ้ำในแผนที่นี้เป็นแผนที่เดียวกัน เป็นตัวที่แนบมากับที่มีการลงนามเอ็มโอยู


เธอบอกอีกว่า  นอกจากนี้  ล่าสุดกัมพูชายังได้ลงนามร่วมกับทางคูเวต โดยกัมพูชาประกาศว่าจะเริ่มนำน้ำมันดิบขึ้นมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้    ในปี  2554  หลังจากที่บริษัทเชฟรอนจากสหรัฐประกาศว่าการซื้อน้ำมันดิบในแปลงสำรวจอ่าวไทยในต้นปี 2548 ได้พบขึ้นแล้ว  โดยแปลงสำรวจครอบคลุมพื้นที่ 5,559 ตารางกิโลเมตร  ในเขตอ่าวไทยและเขตพื้นที่ที่เรียกว่าแอ่งปัตตานี


"คำถามคือ เมื่อวันที่  7 ส.ค.ที่ผ่านมา ท่านประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐเดินทางมาเมืองไทย   มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงอะไรหรือเปล่า ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ  ก็เอาไทยมาเป็นจุดศูนย์กลางที่จะแสดงสุนทรพจน์  ท่านคงไม่คิดว่าจะเลยไปดูโอลิมปิกที่จีนเท่านั้น  เพราะมันคงมีอะไรมากกว่านี้ นอกจากนี้การที่ยังไม่สามารถขุดเจาะน้ำมันดิบขึ้นมาได้   เพราะยังติดปัญหาเรื่องแผนที่ทับซ้อนทางทะเล ที่ยังเป็นข้อพิพาทของทั้ง  2 ประเทศหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทยหรือไม่" ม.ล.วัลย์วิภากล่าว

นายสมปองกล่าวว่า   เป็นเรื่องตลกที่กัมพูชาต้องการได้ดินแดนของคนอื่นด้วยการสร้างแผนที่ซึ่งเป็นไปไม่ได้    และประหลาดที่เราจะเอาดินแดนของเราไปแลกกับดินแดนของเราเอง  เพราะหากรัฐบาลไทยจะยกให้คนอื่น  ก็ขอให้คนไทยได้รู้ว่าเราได้ยกให้เขา  แต่ไม่ใช่ให้เขาเอาไป  โดยที่ให้เขาอ้างว่าเป็นของเขา  อย่างไรก็ตาม ตนเพิ่งพบว่ารัฐบาลไทยในสมัย  พ.ต.ท.ทักษิณได้ไปทำเอ็มโอยูร่วมกับกัมพูชาในเรื่องข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์ทางทะเล   ซึ่งตนเห็นว่าการลากเส้นแบ่งเขตแดนทางทะเลจะต้องลากเส้นโดยเริ่มที่ชายทะเลตามหลักเขตแดน  ที่   63 ไม่ใช่เริ่มลากจากเกาะกูด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนรับไม่ได้  และเราก็มีตัวอย่างที่รัฐบาลปัจจุบันน่าจะทำตาม  จากการที่รัฐบาลในอดีตได้ตกลงเรื่องเขตแดนทางทะเลกับมาเลเซีย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ จึงได้ทำ JDA เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน.


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์