ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะความขัดแย้งทางการเมืองมายาวนานตั้งแต่ปลายปี 2548 จนถึงปัจจุบัน ความขัดแย้งดังกล่าวได้ก่อให้เกิดความรุนแรงและความเสียหายขึ้นหลายครั้งหลายครา และความขัดแย้งดังกล่าวก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำให้เกิดเครือข่ายต่างๆ ขึ้นมาในสังคมเพื่อรณรงค์ป้องกันความรุนแรงและหาทางออกต่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เครือข่ายหนึ่งคือเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ซึ่งเครือข่ายนี้ไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะคิดต่างกันไม่ได้ หากต้องการบอกกับสังคมว่าความแตกต่างทางความคิดนั้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมประชาธิปไตย  แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรงที่จะก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต เสรีภาพและร่างกายของคนที่เกี่ยวข้อง 
ประชุมวิชาการ"ทางรอดของประเทศไทย" เผย 3 ปัญหาหลักที่ถูกรุมเร้า พร้อมแนะทางออกเสนอต่อรัฐบาล-สังคม
สำหรับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมาในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมานั้น นักวิชาการต่างวิเคราะห์ตรงกันว่าปัจจุบันประเทศไทยถูกรุมเร้าด้วยปัญหาสามประการ คือ
ปัญหาที่ 1 คือ ปัญหาความชอบธรรมของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลในอดีตหรือปัจจุบันก็ตาม ปัญหาความชอบธรรมที่ถูกผู้ไม่เห็นด้วยท้าทาย และยังเป็นปัญหาต่อเนื่องไปถึงความชอบธรรมขององค์กรต่างๆตามรัฐธรรมนูญด้วย เช่น ของ ป.ป.ช. หรือของศาล ที่ต้องเข้าไปตัดสินคดีเกี่ยวกับการเมือง
ปัญหาที่ 2 คือ ปัญหาประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นกับรัฐบาลทุกชุดที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ที่มาจากวิธีใดก็ตาม ว่ารัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้หรือไม่ สามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายได้หรือไม่ และผลแห่งการบริหารนั้นเป็นอย่างไร
ปัญหาที่ 3 ที่สำคัญยิ่ง คือ ปัญหาเกี่ยวกับความเป็นธรรมในหลายระดับ ทั้งกติกา กระบวนการวินิจฉัยชี้ขาด จนถึงการบริหารประเทศ อีกนัยหนึ่ง คือ ปัญหาความเป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรในสังคมให้ประชาชนทั้งหมดอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม
ด้วยสาเหตุดังที่กล่าวมาข้างต้น จึงได้มีการจัดการประชุมวิชาการ ทางรอดของประเทศไทย ระหว่างวันที่ 11-12 กันยายน เป็นครั้งที่ 1 เพื่อระดมความคิดเห็นจากนักวิชาการ ผู้นำทางสังคม เศรษฐกิจ และสื่อมวลชนอาวุโสมาร่วมกันแสวงหาทางออกให้ประเทศ เพื่อหาทางทำข้อเสนอให้รัฐบาลและสังคมรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป  
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการประชุมวิชาการ "ทางรอดของประเทศไทย" เพื่อเสนอต่อรัฐบาลและสังคม มีโดยสรุปดังต่อไปนี้
1.สังคมไทยในขณะนี้ถูกวิกฤติรุมเร้าเป็นอย่างยิ่ง เป็นวิกฤติซึ่งมาจากความขัดแย้งเชิงโครงสร้างมายาวนาน หากสังคมไทยสามารถตื่นรู้และมองเห็นโอกาสเอง ใช้อำนาจให้น้อยลง ใช้ปัญญาให้มากขึ้น สังคมไทยก็จะสามารถปฏิรูปตนเองให้พ้นจากวิกฤติได้ แต่หากยังมองไม่เห็นทางออก ยังนิ่งเฉย สังคมไทยก็จะเข้าสู่ภาวะมิคคสัญญี เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก หลังจากนั้น จึงจะเกิดแรงกระตุ้นให้ปฏิรูปสังคม ซึ่งปัญญาที่เกิดหลังความสูญเสียนั้น เป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
2.การจะปฏิรูปสังคมไทยให้พ้นจากวิกฤตินั้น จำต้องอาศัยทั้งบุคคลแต่ละคน (Individual) กลุ่มแต่กลุ่ม (Node) ในสังคม และสุดท้าย ทั้งหมดต้องร่วมกันเป็นเครือข่าย (Network) ที่เข้มแข็งในทุกด้าน แทนที่จะมุ่งเอาชนะคะคานกันด้วยอคติและความเกลียดชัง 
3.ช่วงปี 2548 ถึงปัจจุบัน ประเทศไทยผ่านจุดวิกฤติที่อาจเปลี่ยนการชุมนุมของประชาชนไปสู่การนองเลือดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ แสดงว่าปัจจุบัน ประเทศไทยมีพลังบางอย่างเหนี่ยวรั้งตัวเองไม่ยอมรับการนองเลือดอย่างที่ผ่านมา 
4.ขณะนี้ สังคมไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่มีการกำหนดมาตรการและลำดับขั้นตอนการปฏิบัติของทั้งผู้ชุมนุมและผู้ดูแลการชุมนุมที่ชัดเจนเพียงพอ และเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไปให้ได้รับรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวจะต้องไม่ขัดกับเสรีภาพอันรัฐธรรมนูญได้ให้ไว้ กล่าวคือไม่ขัดขวางการชุมนุมโดยสงบ และปราศจากอาวุธของคนเล็กคนน้อยที่มีความเดือดร้อนและจำต้องแสดงความคิดเห็นของตนให้รัฐบาลและสังคมรับรู้ตามครรลองในระบอบประชาธิปไตย 
5.ณ เวลานี้ สิ่งที่ทำได้เลยคือการเปิดพื้นที่หรือจัดเวทีให้ผู้เกี่ยวข้องต่างๆในการชุมนุมไม่ว่าจะเป็นผู้กำหนดนโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐระดับปฏิบัติ และผู้นำภาคประชาสังคม มาร่วมกันกำหนดกติกาในการชุมนุมและแนวทางปฏิบัติที่ทุกฝ่ายยอมรับ อันจะเป็นการป้องกันความรุนแรงเฉพาะหน้าได้ นอกเหนือจากการจัดทำร่างกฏหมายการชุมนุมที่ต้องใช้เวลา
6.รัฐต้องมีระบบสวัสดิการพื้นฐานที่เป็นไปได้เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยปัจจุบัน เนื่องจากประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาความไม่เป็นธรรมในการจัดสรรทรัพยากรและความมั่นคั่งในสังคมที่ไม่สามารถแก้ไขได้โดยการหว่านนโยบายประชานิยม ซึ่งไม่ได้ดูความยั่งยืนทางการคลังโดยมาพร้อมกับระบบอุปถัมภ์ และไม่มีกลไกหรือสถาบันในการจัดการ ในขณะที่ระบบสวัสดิการพื้นฐานจะต้องมีวินัยทางการคลัง ปรับเปลี่ยนจากแนวคิดอุปถัมภ์ไปสู่สิทธิของประชาชน ไม่ใช่เงินของนักการเมืองที่หว่านไปเอาบุญคุณกับประชาชน และมีกฏและสถาบันรองรับในการจัดการ       
7.การสร้างสวัสดิการพื้นฐานจะหางบประมาณได้จาก 2 แหล่งสำคัญคือ การเพิ่มเม็ดเงินภาษีและการทำนโยบายที่จะลดประโยชน์ที่ไม่ควรได้ (Rent เลว) ซึ่งจะต้องมีการแก้กฎหมายผลประโยชน์ทับซ้อน กฎหมายแข่งขันการค้า กฎหมายเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ และการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส  
8.เพื่อให้กลไกและแนวคิดสามารถเกิดขึ้นได้เป็นรูปธรรมและยั่งยืน ควรให้มีการระบุในรัฐธรรมนูญว่าให้จัดตั้งองค์กรปฏิรูปการจัดสรรทรัพยากรและความมั่งคั่งที่เป็นธรรมในสังคม และให้รัฐบาลนำข้อเสนอแนะไปพิจารณาเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ดังเช่นที่มีการจัดตั้งคณะกรรมการกระจายอำนาจขึ้นมาแล้ว  
สถาบันพระปกเกล้าจัดประชุม ทางรอดของประเทศไทย ระดมความเห็นเสนอทางออกให้รบ.
หน้าแรกTeeNee    ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง  ข่าวการเมือง    สถาบันพระปกเกล้าจัดประชุม ทางรอดของประเทศไทย ระดมความเห็นเสนอทางออกให้รบ.



  กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























 กระทู้ล่าสุด


 รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love illusion ความรักลวงตา เพลงที่เข้ากับสังคมonline
Love illusion Version 2คนฟังเยอะ จนต้องมี Version2กันทีเดียว
Smiling to your birthday เพลงเพราะๆ ไว้ส่งอวยพรวันเกิด หรือร้องแทน happybirthday