วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา นายอำนวย ธันธรา อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาและองค์คณะผู้พิพากษา มีคำสั่งให้ยกคำร้องของ พล.ต.ต. ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รอง ผบช.น. โดยไม่อนุมัติให้ออกหมายจับแกนนำเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกอบด้วย น.ส.รสนา โตสิตระกูล นายสุริยะใส กตะศิลา นายสุวิทย์ วัดหนู นายอวยชัย วะทา นายเพียร ยงหนู นายศิริชัย ไม้งาม และนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ ผู้ต้องหาคดีก่อให้เกิดความไม่สงบในราชอาณาจักร และมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป เพื่อกระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215 และ 216 ที่ร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ชุมนุมปราศรัยตามสถานที่ต่าง ๆ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ถือว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 วรรคหนึ่ง และแม้จะมีการใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสม ขาดความยำเกรง แต่ไม่มีเจตนาเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่จะเป็นการก่อความไม่สงบในราชอาณาจักร
ชี้หลักฐานตำรวจไม่มีน้ำหนัก
ส่วนคำปราศรัยของ น.ส.รสนา ที่เรียกร้องไม่ให้ประชาชนเสียภาษีนั้น เมื่อพิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีเจตนาให้ผู้ชุมนุมต่อต้านสินค้าของบริษัทเอกชนบางราย ส่วนการเลื่อนจ่ายภาษีและการหยุดงานเป็นมาตรการต่อไปที่อาจนำมาใช้เมื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง เมื่อผู้ร้องยังไม่มีหลักฐานตามสมควรว่านายสุริยะใสกับพวกรวม 7 คนน่าจะได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215 และ 216 จึงไม่มีเหตุเพียงพอที่ศาลจะออกหมายจับตามคำร้อง
สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 108, 114 และ 148 พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 19, 39, 54 และ 57 และ พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. 2493 มาตรา 4 และ 9 นั้นเห็นว่ามีโทษปรับสถานเดียว เมื่อผู้ต้องหาไม่หลบหนีหรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานหรือก่อเหตุอันตรายอื่น ประกอบกับหมายเรียกของผู้ร้องระบุความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เท่านั้นจึงยังถือไม่ได้ว่าผู้ร้องได้มีหมายเรียกผู้ต้องหาไปรับทราบข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ. 3 ฉบับดังกล่าว ดังนั้นจึงชอบที่ผู้ร้องจะออกหมายเรียกผู้ต้องหาใหม่ได้ แต่ชั้นนี้ศาลสมควรให้ยกคำร้องขอออกหมายจับ
สุริยะใสตีปีกจัดชุมนุมใหญ่
นายสุริยะใส กล่าวภายหลังรับทราบคำสั่งศาลว่า คำสั่งศาลตอกย้ำชัดเจนว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯ ยึดกรอบรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 ซึ่งเป็นการชุมนุมโดยสันติและปราศจากอาวุธ และข้อกล่าวหาของตำรวจไม่มีหลักฐานอันสม ควร ็ถ้าตำรวจออกหมายเรียกอีก โดยส่วนตัวจะไม่ไปรายงานตัวเช่นเดิม ถ้าตำรวจจะขอหมายจับก็พร้อมชี้แจงต่อศาลอีกครั้ง ส่วนข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร ถ้าออกหมายเรียกนั้นก็ต้องเรียก พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย เพราะนั่งรถไม่มีป้ายทะเบียนิ ทั้งนี้ขอเรียกร้องให้ตำรวจตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองกลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ เพราะสุดท้ายตำรวจอาจโดนข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และจะกลายเป็นผู้ร้ายเสียเอง
ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า พันธมิตรฯ มีความมั่นใจในการเคลื่อนไหวต่อไป โดยเฉพาะการเตรียมการชุมนุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเร็ววันนี้จะต้องเดินหน้าต่อไป และ 5 แกนนำก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ายึดแนวทางสันติวิธีและอหิงสธรรม พรรคไทยรักไทยอย่าออกมาขู่ ถ้าเห็นว่าผิดกฎหมายก็ขอให้ดำเนินคดีได้เลยเพื่อจะได้ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่าใครผิดใครถูกและจะได้เป็นบรรทัดฐานต่อไป
สั่งตร.คุมเข้มเวทีโค่นทักษิณ
นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองโฆษกพรรคไทยรักไทย กล่าวถึงกรณีกลุ่มพันธมิตรฯ จะเปิดปราศรัยโค่นระบอบทักษิณในวันที่ 3 ก.ย. ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ว่า ช่วงนี้อยู่ในระหว่างพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งจึงอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง มาตรา 44 (5) หากมีการใส่ร้ายด้วยความเท็จทำให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม และ กกต. มีอำนาจออกคำสั่งหยุดการกระทำได้ ที่สำคัญควรหรือไม่ที่จะไปจัดปราศรัยในพื้นที่ที่จะยกเป็นจังหวัดเฉลิมพระเกียรติ
พล.ต.ต.โสภณ พิสุทธิ์วงศ์ ผบก.จว. ประจวบฯ เปิดเผยว่า ได้เตรียมกองร้อยควบคุมฝูงชนที่ 1 จำนวน 300 นายไว้ในที่ตั้งและพร้อมเดินทางไปถึงที่ปราศรัยภายใน 5 นาทีหากมีเหตุรุนแรง รวมทั้งได้ประสานกับสันติบาลเพื่อรักษาความปลอดภัยแกนนำทั้งฝ่ายหนุนและต้านรัฐบาล และยืนยันว่าจะไม่สกัดกั้นประชาชนที่จะไปร่วมฟังการปราศรัยของแกนนำพันธมิตรฯ ขณะที่นายธวัชชัย วิสมล นายอำเภอปราณบุรี เปิดเผยว่า ได้เตรียมอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) 20 นาย และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) อีก 25 นายเพื่อเสริมกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความสงบบริเวณพื้นที่ปราศรัย
ยกคำร้องคดีแม้วพักร้อน
ศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่นายการุณ ใสงาม รักษาการ ส.ว.บุรีรัมย์ และพวกยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รักษา การนายกรัฐมนตรี และ ครม. ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เนื่องจากการลาพักร้อนของ พ.ต.ท.ทักษิณในช่วงก่อนหน้านี้ ถือว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ได้พ้นสภาพจากการเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และไม่รับคดีดังกล่าวไว้พิจารณา เพราะคดีดังกล่าวไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณาและวินิจฉัยได้ อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยขอบเขตอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลไว้แล้ว รวมทั้งผู้ร้องไม่ใช่ผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าว
นายนิติธร กล่าวว่า กรณีของตนแม้ ศาลจะอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้เดือดร้อน แต่ตนเห็นว่ากระทรวงการคลังเป็นผู้เสียหายโดยตรง ดังนั้นตนจะไปร้องกระทรวงการคลังให้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท. ทักษิณ ในฐานะเป็นผู้เสียหาย โดยเฉพาะการลาพักร้อนทำให้กระทรวงการคลังเสียหาย ทั้งนี้ตน กำลังพิจารณาอยู่ว่า ถ้าหากกระทรวงการคลังไม่ร้อง ตนในฐานะที่เป็นผู้เสียหายจะยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรีต่อศาลปกครองได้เองหรือไม่
ยุทธตู้เย็นเซ็นด่วนย้ายอธิบดี
อีกเรื่องหนึ่ง นายยงยุทธ ติยะไพรัช รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงการลงนามในคำสั่งย้ายนายฉัตรชัย รัตโนภาส อธิบดีกรมป่าไม้ มาประจำสำนักงานปลัดกระทรวง ทส. แทนว่า ไม่ได้เป็นการย้ายฟ้าผ่าอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เห็นว่านายฉัตรชัยจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 1 ต.ค. นี้แล้ว จึงไม่อยากให้ยุ่งยากเรื่องการสอบสวนหาผู้กระทำผิด แล้วให้นายไพศาล กุวลัยรัตน์ ผู้ตรวจราชการ ทส.ไปรักษาการแทนโดยยังไม่ได้แต่งตั้งใคร เพราะเร็ว ๆ นี้ กรมป่าไม้กับกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชจะรวมกันอยู่แล้ว
ด้านนายฉัตรชัย กล่าวว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าจะถูกย้ายกะทันหัน และไม่ทราบว่าถูกย้ายเพราะสาเหตุใด เข้าใจว่านายยงยุทธอาจต้องการให้มีผู้ประสานงานต่อที่กรมป่าไม้ เพราะผู้บริหารของกรมจะเกษียณพร้อมกันทั้งหมด
ข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่นายยงยุทธลงนามในคำสั่งปลดดังกล่าวเมื่อคืนวันที่ 31 ส.ค. อาจเกิดจากข่าวการลักลอบขนไม้พยุงออกจากป่า จ.มุกดาหาร ไปยังแขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว แล้วประทับตราในสะหวันนะเขตก่อนส่งต่อไปยังประเทศจีน ซึ่งการลักลอบดังกล่าวมีการตั้งข้อสงสัยว่ามีข้าราชการกรมป่าไม้เกี่ยวข้องด้วย และได้มีการย้ายป่าไม้จังหวัดไปแล้ว 1 คน
ปชป.จี้สมคิดิเปิดผลนอมินี
ที่กระทรวงพาณิชย์ นายเกียรติ สิทธีอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังเข้ายื่นหนังสือถึงนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ เพื่อให้เปิดเผยผลสอบการเป็นผู้ถือหุ้นแทน (นอมินี) ของบริษัทกุหลาบแก้ว ในการซื้อหุ้นบริษัทชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ภายใน 7 วัน โดยนายการุณ กิตติสถาพร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับหนังสือแทนว่า หากพ้นกำหนดแล้วยังไม่ได้รับคำตอบก็จะดำเนินการตามช่องทางกฎหมายอื่นต่อไป และถ้าซื้อเวลานานออกไปจะยิ่งพิสูจน์ว่าละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่
นายเกียรติ กล่าวว่า โครงสร้างบริษัทกุหลาบแก้วชี้ว่าเป็นนอมินีชัดเจน เพราะไม่มีบริษัทไหนที่มีทุนจดทะเบียนแค่ 1 แสนบาท แต่ไปซื้อหุ้นเป็นหมื่นล้านบาท หรือแม้แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ในบริษัทถือหุ้น 51% แต่ขอรับส่วนแบ่งแค่ 3% เท่านั้น ็ผมอยากพบนายสมคิด เพราะรู้สึกว่า นายสมคิดจะลอยตัวต่อเรื่องนี้มาตลอด และนายอภิสิทธิ์ อยากจะเจอด้วย พยายามนัดมาเป็นสัปดาห์แล้ว แต่คิวไม่ว่างเลย ตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป้าหมายชีวิตของนายสมคิดคืออะไรแน่ การพิสูจน์เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าหาญ แต่เข้าใจว่าทำได้ยากเพราะไปเกี่ยวกับคนที่โอบอุ้มกันมาก่อน.
แหล่งข่าว เดลินิวส์