เมื่อวันที่ 5 กันยายน ที่โรงแรมเฟลิกซ์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท อ.เมือง จ.กาญจนบุรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานและกล่าวเปิดงานประชุมสมัชชาประชาชนประชาธิปัตย์ " วาระประชาชนภาคกลาง จังหวัดกาญจนบุรี " มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาครัฐ เอกชน และประชาชน เข้าร่วมกว่า 500 คน ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยก่อนเปิดงาน นายอภิสิทธิ์ได้รับเรื่องร้องเรียนของประชาชนที่มารอต้อนรับกว่า 10 เรื่อง ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่ทำกิน "กอร์ปศักดิ์" ยันไทยเข้มแข็งไม่ซ้ำรอย "การกู้ยืมเงินของรัฐบาลจะเห็นผลได้แค่ไหนต้องดูในอนาคตว่าจะสามารถทำให้เกิดการเจริญเติบโตได้จริงจนสามารถชดเชยเงินที่ยืมในตอนนี้ได้หรือไม่ โดยขนาดของเงินกู้ใหญ่มากพอแล้วแต่การใช้เงินต้องระวังและทำอย่างไรให้เกิดการเจริญเติบโตในวันข้างหน้า" นายโฆสิตกล่าว นายบัณฑิตกล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรประมาทกับตัวเลขชี้วัดเศรษฐกิจบางตัวที่ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 2 เพราะหากการลงทุนภาคเอกชนไม่ฟื้นตัว ก็เป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้ชัดเจนและต่อเนื่อง รัฐบาลควรเร่งสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุน และ ธปท.คงต้องมีเครื่องมือดำเนินนโยบายเพิ่มเติม นอกเหนือนโยบายการเงินผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงอย่างเดียว เช่น การกำกับการปล่อยสินเชื่อ และการกู้ยืมเงินตราต่างประเทศ เป็นต้น วันเดียวกัน ตลาดซื้อขายล่วงหน้าจัดสัมมนาเรื่อง อนาคตเศรษฐกิจไทย...มองทางเลือก สู่ทางรอด โดยมีนายสมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการทางด้านเศรษฐศาสตร์และการเมือง นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วนกลยุทธ์นโยบายการเงิน ฝ่ายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นวิทยากร "ขณะเดียวกันให้จับตาว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมากน้อยแค่ไหน เพราะปัจจุบันเรื่องจิตวิทยาเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ดังนั้น มองน่าจะฟื้นตัวลักษณะของรูปตัวดับเบิลยู (W) เพราะเมื่อมีการฟื้นตัวระยะหนึ่งอาจจะตกลงไปอีก เพื่อปรับตัวเอง แต่จะมากน้อยแค่ไหนยังบอกไม่ได้" นายสมชายกล่าว ชี้"ไทยเข้มแข็ง" ไม่หนุนการผลิต
นายอภิสิทธิ์กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนไปได้มากกว่า 80-90% เช่น การแก้ไขและบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจที่มีต่อประชาชน ทั้งการสร้างรายได้และศักยภาพเศรษฐกิจในระดับฐานราก โดยการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง การช่วยเหลือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพื่อสร้างหลักประกันรายได้ให้แก่ผู้สูงอายุ โครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร เรื่องการลดค่าใช้จ่ายและลงทุนทางสังคมเชิงรุก ทั้งโครงการเรียนฟรี 15 ปี ลดและช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน โครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน และการบรรเทาการว่างงาน โครงการต้นกล้าอาชีพ
วันเดียวกัน สมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และธนาคารกรุงเทพ จัดเสวนา เรื่อง "วิกฤตเศรษฐกิจไทยภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจโลก" ที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยมีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมเสวนา
นายกอร์ปศักดิ์กล่าวว่า การใช้จ่ายงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็งในครั้งนี้ สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญคือต้องรู้จังหวะว่าต้องใช้งบประมาณกระตุ้นช่วงใด ไม่เช่นนั้นอาจไม่ประสบความสำเร็จ ขั้นตอนการประมูลต้องมีความโปร่งใส และตรวจสอบได้ ที่สำคัญต้องไม่ซ้ำรอยโครงการชุมชนพอเพียง ที่เป็นปัญหาขณะนี้
"โฆสิต" เตือนรบ.ระวังใช้เงิน
นายโฆสิตกล่าวว่า ภาพรวมการทำงานของรัฐบาลในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ดี รัฐบาลต้องเผชิญข้อจำกัดในการทำงาน และต้องการใช้เงินแก้ปัญหาจำนวนมาก เพราะเงินของภาคเอกชนที่เคยมีหายไปมาก แต่กรอบการทำงานของรัฐบาลที่ควรระมัดระวังคือต้องไม่ทำอะไรมากเกินความจำเป็น สิ่งที่สำคัญในการใช้เงินของรัฐบาล ต้องดูอนาคตว่าจะสามารถเร่งการเจริญเติบโตให้เพียงพอจนสามารถใช้หนี้ทดแทนการกู้ยืมในปัจจุบันได้หรือไม่ ดังนั้น รัฐบาลต้องดูจังหวะการใช้งบประมาณให้เหมาะสม เพราะถ้ารัฐบาลเร่งการใช้จ่ายมากเกินไป และไม่ตรงจุด สุดท้ายอาจเกิดการแผ่วในจุดที่ยังแก้ไขไม่ชัดเจนจนแก้ไขไม่ได้ผล จะทำให้หมดกำลังช่วยเศรษฐกิจ
นักวิชาการชี้ศก.ฟื้นรูปตัว"W"
นายสมชายกล่าวว่า ขณะนี้นเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น แต่เป็นการฟื้นตัวในบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวดีขึ้นแน่นอน เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้นแล้ว ประเทศไทยก็จะได้รับอานิสงส์ด้วย ขณะนี้การส่งออกค่อยๆ ดีขึ้น คาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้การส่งออกจะติดลบต่ำกว่า 20% ส่งผลให้ในปีนี้เศรษฐกิจประเทศไทยจะเติบโตติดลบเฉลี่ยที่ 3% เท่านั้น และปีหน้าเศรษฐกิจไทยน่าจะเป็นบวก 2-3% แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงรออยู่ทั้งเรื่องการเมือง และไข้หวัดใหม่ 2009
แนะทำศก.ฟื้นช่วยเลี่ยงผชิญหน้า
นายสมชายกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องการเมืองทั้งในและนอกรัฐสภาต่อไป แต่จะนำไปสู่การเผชิญหน้าหรือไม่นั้นยังบอกไม่ได้ ขึ้นกับรัฐบาลว่าจะบริหารการเผชิญหน้าอย่างไร รัฐบาลเองก็ต้องสมานฉันท์กันเอง เชื่อว่าจะยังไม่ยุบสภา เพราะหากยุบแล้วจะแย่ด้วยกัน รัฐบาลจึงยังต้องปรองดองกันต่อไป ทางออกของการหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ก็คือต้องทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัว เสร็จแล้วก็ควรประนีประนอมกับฝ่ายตรงข้าม เช่น การไม่ไล่ล่า
"การเมืองแบบนี้จะยังอยู่กับเราไปอีกนาน เพราะอีกฝ่ายคงไม่เลิกราง่ายๆ ยังคงมีโฟนอินอยู่ไม่งั้นคนจะลืม ขณะนี้ต้องสู้กันไป แต่ไม่มีใครชนะ" นายสมชายกล่าว
นายสมชายกล่าวว่า ขณะเดียวกันอยากให้มีการเรื่องการเปิดเสรีการค้าที่ไทยตกลงกับประเทศต่าง ๆ เอาไว้ ว่าไทยมีศักยภาพในการแข่งขันมากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในระยะ 5-10 ปีข้างหน้า รัฐบาลกำหนดแนวทางในอนาคตของประเทศไทยหรือยัง ว่าอุตสาหกรรมใดเป็นเป้าหมาย หรืออุตสาหกรรมอะไรที่จะต้องย้ายฐานการผลิต
สอท.ชี้อุตฯบางตัวกำลังผลิต100%
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปัจจุบันส่วนหนึ่งมาจากการรีสต๊อคสินค้าคงคลังของประเทศคู่ค้า รวมทั้งการเก็งกำไรบางส่วน ขณะที่ความต้องการจริงยังมีน้อยอยู่ ดังนั้น อยากให้จับตาดูไตรมาส 4 ปีนี้ว่าออเดอร์ (คำสั่งซื้อ) จะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม หากการสั่งซื้อสินค้ายังดีอยู่ในไตรมาส 4 ปีนี้ ก็เชื่อว่าในกลางปีหน้าการฟื้นตัวก็ชัดเจนดีขึ้นแต่การฟื้นตัวดังกล่าวเป็นการฟื้นตัวในรูปแบบตัวแอล (L) และสะวิงเล็กน้อย
"ยอมรับว่าขณะนี้ความเชื่อมั่นในหลายอุตสาหกรรมดีขึ้น เช่น ยางพารา ชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ เครื่องจักรกลเกษตร โรงกลั่นน้ำมัน ปิโตรเคมี พลาสติค โรงเลื่อย น้ำตาล สมุนไพร" นายพยุงศักดิ์กล่าว
นายพยุงศักดิ์กล่าวว่า จากการสำรวจของ ส.อ.ท.ช่วง 3 เดือนข้างหน้าค่อนข้างดี โดยเฉพาะเรื่องการผลิตที่ขณะนี้มีการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 60% บางอุตสาหกรรมใช้กำลังการผลิตไปแล้วถึง 80-100% แรงงานก็เริ่มกลับเข้ามาสู่ระบบมากขึ้น ส่วนผลประกอบการก็ดีขึ้นสอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจโลก โดยมีจีนและอินเดียเป็นผู้ขับเคลื่อนที่สำคัญ และการที่รัฐบาลออกโครงการไทยเข้มแข็งนั้นก็ถือว่าน่าจะเพียงพอในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับการกระตุ้นของรัฐบาลและเศรษฐกิจโลก และหวังว่าเศรษฐกิจประเทศไทยจะโตเป็นบวกอย่างน้อย 2-3%
ธปท.ย้ำการเมืองวุ่นบั่นทอนศก.
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ธปท.มองว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของไทยเริ่มมีการฟื้นตัวขึ้น แต่การฟื้นตัวดังกล่าวยังมีความเปราะบางไม่มั่นคง คนยังไม่มีความเชื่อมั่น เพราะยังมีสัญญาณว่าเศรษญกิจโลกยังมีปัญหา ยังคลี่คลายไม่หมด เชื่อว่าในอนาคตการเติบโตของเศรษฐกิจจะไม่โตเร็วเหมือนอย่างในอดีตแน่นอน เพราะประชาชนทั้งในอเมริกาและยุโรปมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่เริ่มบริโภคน้อยลงและออมเงินเพื่อใช้หนี้มากขึ้น ส่งผลให้การซื้อขายบ้าน รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ชะลอตัว จะส่งผลให้การส่งออกยากขึ้น
"สิ่งที่เห็นดีๆ ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ คือการติดลบการส่งออกดีขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการใช้สินค้าคงคลังไป เมื่อสินค้าหมดก็ต้องกลับมาสั่งซื้อใหม่ ซึ่งจะซื้อไม่นาน หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร รัฐบาลจะเอาอะไรมากระตุ้นต่อ" นายกอบศักดิ์กล่าว และว่า การมองเศรษฐกิจในอนาคตนั้นจะมอง 3 ปัจจัยคือ การเมือง นโยบายและอนาคต โดยเรื่องการเมืองเชื่อว่าความวุ่นวายทางการเมืองจะยังมีอยู่อีกนานและจะเป็นปัญหาที่บั่นทอนและคุกคามเศรษฐกิจของไทย แม้ว่าที่ผ่านมาไทยผ่านช่วงแย่ๆ มาแล้ว แต่หากการเมืองยังแย่อยู่เศรษฐกิจก็คงโตได้ไม่มาก
นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลแต่ละรัฐบาลไม่มีนโยบายที่ต่อเนื่อง ทั้งนโยบายการเงินและการคลัง ในส่วนของการคลังนั้นมีการคิดกันไว้หรือไม่ว่า หากรัฐบาลระดมเงินล็อตสุดท้าย 800,000 ล้านบาทแล้ว แต่เศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นอย่างที่หวัง รัฐจะอัดฉีดภาคเศรษฐกิจอย่างไรต่อไป หากจะกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รัฐจะทำอย่างไรให้ประชาชนเชื่อมั่นพอที่จะจับจ่ายใช้สอย เพราะขณะนี้ประชาชนเป็นหนี้กันไปหมดแล้ว ดังนั้น รัฐบาลไม่สามารถพึ่งพาเรื่องนี้ได้ และสุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นภาคเอกชนที่จะต้องต่อสู้เองต่อไป แต่การที่จะหวังพึ่งการลงทุนในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นก็คงลำบากเช่นกัน เพราะกำลังการผลิตยังไม่เต็มกำลัง
"เงินที่รัฐใส่ลงไปในโครงการไทยเข้มแข็งนั้นต้องจับตาดูว่า เมกะโปรเจ็คต์ที่รัฐจะทำนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ ขณะที่โครงการอื่นที่อยู่ภายใต้โครงการไทยเข้มแข็งก็เป็นโครงการที่เน้นการดำเนินการที่รวดเร็ว แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นโครงการที่ไม่ใช่ส่งเสริมการผลิต หรือเป็นโครงการระยะยาว" นายกอบศักดิ์กล่าว และว่า วิกฤตครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะเงินทุนมีการเคลื่อนย้ายตลอดเวลาก่อให้เกิดความผันผวน ประเทศไทยคิดเรื่องนี้หรือยังว่าหลังวิกฤตแล้วจะมีความยากลำบากมากขึ้นไปเรื่อยๆ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องคิดแล้วว่าเมืองไทยจะอยู่อย่างไร เพราะคู่ต่อสู้จะพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายแล้วไทยคงต้องแข่งกับเวียดนาม ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องคิดแล้วว่าอนาคตเราจะอยู่อย่างไร
"พรทิวา" สั่งเร่งกระตุ้นส่งออก
วันเดียวกัน กรมส่งเสริมการส่งออกจัดสัมมนา เรื่อง "กลยุทธ์ส่งเสริมการส่งออกปี 2553" ที่โรงแรมจุลดิศ เขาใหญ่ รีสอร์ทแอนด์สปา โดยนายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวว่า นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบนโยบายให้เพิ่มมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการส่งออกเพิ่มเติม 5 ด้าน ได้แก่ มาตรการด้านตัวสินค้า มาตรการด้านราคา ต้นทุนสินค้าและสภาพคล่องทางการเงิน มาตรการด้านการตลาด มาตรการด้านการสื่อสารและสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทย และมาตรการตามข้อเสนอของผู้ส่งออกที่มีปัญหาไม่มีคำสั่งซื้อชั่วคราว โดยกำลังเสนอการขอลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบใช้ในการผลิตเพื่อการส่งออก การขออนุมัติเงินกู้ช่วยเหลือสภาพคล่องผู้ส่งออก 5 พันล้านบาท
นายราเชนทร์กล่าวว่า พร้อมกันนี้ก็ใช้ 5 กลยุทธ์เพื่อผลักดันการส่งออกให้ขยายตัว 2 หลัก หรือประมาณ 12-15% ซึ่ง 7 เดือนแรกปีนี้ยังติดลบ 23.9% แต่คาดว่าหลังจากเดือนสิงหาคมสถานการณ์การส่งออกจะฟื้นตัวดีขึ้น เฉลี่ยส่งออกทั้งปีติดลบ 15% หรือมีมูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการส่งออกปีหน้าคาดว่าปัจจัยเสี่ยงจะเป็นเรื่องน้ำมันแพง เงินบาทแข็งค่า มาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศผู้นำเข้าที่เพิ่มขึ้น และความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ
นายราเชนทร์กล่าวว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการส่งออกในปีหน้า กรมได้จัดทำ 5 กลยุทธ์ ผ่านงบประมาณ 3,064 ล้านบาท ได้แก่ 1.ผลักดันการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร 2.ลดต้นทุนสินค้าในระบบโลจิสติคส์ 3.เร่งรัดขยายตลาดใหม่ให้เกิน 55% และคงรักษาตลาดเดิม 4.ส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการเชิงสร้างสรรค์ของไทย และ 5.ให้ความสำคัญกับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ให้ขยายตัว 20-23%
มาร์คคุย 6เดือนขจัดเดือดร้อนชาวบ้านได้ 80-90% กอร์ปศักดิ์มั่นใจไทยเข้มแข็งไม่ซ้ำรอยโกงพอเพียง
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง มาร์คคุย 6เดือนขจัดเดือดร้อนชาวบ้านได้ 80-90% กอร์ปศักดิ์มั่นใจไทยเข้มแข็งไม่ซ้ำรอยโกงพอเพียง