เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 27 ส.ค. ที่รัฐสภา นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) กล่าวถึงการจัดสรรเวลาในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ว่า
ได้มีการหารือและจัดสรรเวลาแล้วว่าการอภิปรายจะมี 2 วันโดยวันนี้จะพยายามให้จบหลังเวลา 24.00 น.และในวันทื่ 28 ส.ค.จะให้ลงมติก่อนเวลา 24.00น. เพราะในวันที่ 29 ส.ค. มีส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปจ.สุราษฎร์ธานี เพื่อช่วยผู้สมัครของแต่ละพรรคหาเสียง ขณะที่พรรคภูมิใจไทยจะไปร่วมงานศพของนายวีระ รักความสุข ส.ส.สัดส่วน พรรคภูมิใจไทย
ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า
ส่วนการจัดสรรเวลาได้แบ่งสัดส่วนของคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 รวมเวลา 5 ชั่วโมง และเป็นเวลาในส่วนของรัฐบาลในการอภิปราย เพื่อตอบข้อซักถามรวม 10 ชั่วโมง ขณะที่ฝ่ายค้านจะได้เวลาในการอภิปรายรวม 15 ชั่งโมง โดยจะเปิดโอกาสให้อภิปรายได้อย่างเต็มที่ ซึ่งกำหนดให้ผู้อภิปรายแต่ละคนมีเวลาในการพูดคนละไม่เกิน 10 นาที ซึ่งการจัดสรรเวลาก็ให้แต่ละฝ่ายไปหารือและบริหารจัดแบ่งเวลากันเอง โดยกำหนดว่าจะต้องพูดไม่ซ้ำซ้อน ประเด็นที่มีผู้อภิปรายอื่นได้พูดไปแล้ว เพราะมีการแปรญัติมากถึง 184 คน
เมื่อถามว่า แต่ยังมีความสับสนกรณีที่จะให้บรรดารัฐมนตรีว่าจะสามารถลงมติได้หรือไม่เพราะมีหลายคนออกมาระบุว่า จะไม่ขอลงมติเพราะไม่อยากจะไปชี้แจงกับ ป.ป.ช. นายชินวรณ์ กล่าวว่า
ได้หารือเป็นที่ชัดเจนแล้วหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ให้วิปพรรคร่วมรัฐบาลหารือ เพราะตามมาตรา 177 ของรัฐธรรมนูญ ระบุชัดว่ากรณีที่รัฐมนตรีไม่สมควรลงมติได้มีดังนี้ คือ
1.กรณีการอภิปรายไว้วางใจนายกรัฐมนตรี
2.กรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งเกี่ยวโยงถึงรัฐมนตรีคนนั้นๆไม่สามารถลงมติได้
3.กรณีที่มาการเสนอพ.ร.บ.เข้ามาและมีผลประโยชน์ขัดกันโดยส่วนตัวต่อกับรัฐมนตรีท่านนั้นๆชัดเจนก็ไม่ต้องลงมติ และ
4. กรณี ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี เพราะมีหลายมาตราที่อาจจะหมิ่นเหม่หรือกระทบต่อผลประโยชน์ได้เสียของรัฐมนตรี จึงชัดเจนว่ารัฐมนตรีไม่สามารถที่จะลงมติได้ในกรณีพ.ร.บ.รายจ่ายงบประมาณประจำปี 2553 นี้ ทั้งนี้จะได้ปฏิบัติให้เกิดเป็นแนวบรรทัดฐานต่อไป ซึ่งแนวปฏิบัตินี้ก็สอดรับกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ก็ไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลแต่อย่างใด
ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า
มั่นใจว่ารัฐบาลจะสามารถผ่านการเห็นชอบกฏหมายสำคัญได้ รวมทั้งร่างพ.ร.บ.งบประมาณด้วย เพราะขณะนี้รัฐบาลมีเสียงสนับสนุน 275 เสียง โดยรวมเสียงของบรรดารัฐมนตรีกระทรวงต่างๆอีก 22 คน เมื่อตัดออกจะเหลือ 253 เสียง ซึ่งยังมีจำนวนมากพอเกินกึ่งหนึ่งของเสียงส.ส.ในสภาอีก 18 เสียง