กรณ์เอาศักดิ์ศรีค้ำประกันเงินกู้ 8 แสนล้านมาร์คบินกลับด่วนอ้อน ส.ว.รับพ.รก.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ประชุมวุฒิสภาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 22 มิถุนายน มีมติคว่ำร่าง พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)

พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2552 ที่มีสาระสำคัญอยู่ที่การขยายเพดานอัตราภาษีน้ำมัน ด้วยคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ 58:33 เสียง สมาชิกงดออกเสียง 10 ราย และไม่ลงคะแนน 1 ราย ปรากฏว่า ในช่วงกลางดึก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปราชการที่สิงคโปร์ มีกำหนดการเดินทางกลับในเวลา 23.00 น.ได้เลื่อนเวลาเดินทางกลับเร็วขึ้น และ เพื่อรีบมาชี้แจง พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 วงเงิน 4 แสนล้านบาท ที่ผ่านสภาผู้แทนราษฏรแล้ว


กระทั่งเมื่อเวลา 22.45 น. นายกรณ์ ชี้แจงว่า ที่สมาชิกกังวลเรื่องอาจมีการทุจริต และมีการพูดถึงตนไปเกี่ยวข้องด้วยเรื่องการเตรียมรับเงินที่มาจากเงินกู้ 4 แสนล้านบาทนั้น

ขอยืนยันด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชายว่า ไม่มีและจะไม่มีแน่ ทั้งนี้การตรวจสอบการใช้เงิน รัฐบาลให้ความสำคัญมาก วิธีการแก้ไม่ใช่ระงับโครงการที่ต้องทำ แต่ต้องตรวจสอบ ให้ใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนหนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้น รัฐบาลยืนยันว่า สามารถบริหารได้โดยไม่มีผลกระทบเสถียรภาพการเงินการคลัง  


จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพิ่งเดินทางกลับจากสิงคโปร์ ชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า ขออภัยวุฒิสภาที่ไม่ได้อยู่ประชุมด้วยตั้งแต่ช่วงเช้า

เพราะมีกำหนดการเยือนอาเซียน แต่ก็รีบกลับมาเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง ไม่ได้ร่วมรัปประทานอาหารและตอบข้อซักถามกับนักธุรกิจที่สิงคโปร์ เพราะสมาชิกอภิปรายแสดงความห่วงใย หลายเรื่อง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ข้อสังเกตที่สมาชิกติติง รัฐบาลได้คิดแล้ว แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยที่ประเทศอยู่ในภาวะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรงเหมือนทุกประเทศ ทั้งการส่งออกลดลง การพึ่งพาการลงทุนจากต่าประเทศ การท่องเที่ยวที่รับผลจากไข้หวัดใหญ่ 2009 ด้วย จึงกระทบกับจ้างงาน การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ทั่วโลกก็ต้องหาทางกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ทางการเงินก็ลดอัตรดอกเบี้ย หรือ ปล่อยสินเชื่อให้มาก แต่ธุรกิจบางส่วนก็รอดู ไม่รับสินเชื่อ ส่วนภาคการเงินก็กลัวปล่อยสินเชื่อไปแล้วเป็นหนี้เสีย ฉะนั้น ที่ทำได้คือ ธนาคารภาครัฐ แต่เขาก็ต้องการเพิ่มทุน เงินกู้ส่วนนี้ก็จะมาสนับสนุน ทั้งนี้ไม่ว่าวิธีการอะไร สุดท้ายต้องพึ่งการใช้จ่ายของรัฐบาล โดยรัฐบาลใช้งบประมาณแบบขาดดุลแทบจะชนเพดาน รัฐบาลประเมินตัวเลขตามความเป็นจริง พบว่า หายไปจากเดิม 2 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ารัฐบาลไม่เที่ยงธรรม ก็ตั้งตัวเลขไว้สูงเกินจริง ให้มีเงินใช้จ่ายมากๆ แล้วหน่วยเก็บภาษีก็ไปไล่เก็บให้เข้าเป้า แต่ผลคือ กระทบผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก รัฐบาลจึงไม่ทำ
 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า โจทย์แรกคือ ให้ใช้จ่ายภาครัฐมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งมองว่า ถ้ารัฐบาลอยู่เฉย ไม่ส่งสัญญาณ ไม่เริ่มต้นลงทุน เศรษฐกิจจะถดถอยมากขึ้น จนลุกลามเป็นวิกฤตหนัก

ที่ตนกังวลคือ คนตกงาน เพราะตอนนี้หลายธุรกิจกำลังประคองเรื่องการจ้างงาน แต่รัฐบาลไปดำเนินนโยบายเชิงขอร้อง ขอให้อดทนผ่านช่วงยากๆนี้ แล้วเมื่อดีขึ้น จะได้ไม่ต้องไปเลิกจ้าง เมื่อสักครู่ คุยกับผู้นำสิงคโปร์ ก็เห็นตรงกันว่า ถ้าทนไม่ถึงสิ้นปี การเลิกจ้างก็จะมีมหาศาล ซึ่งถ้าไม่อดทน อาจลามไปเป็นวิกฤตการเงิน ฉะนั้นจึงเป็นความจำเป็นต้องใช้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจ 8 แสนล้านบาท แม้ดูมาก แต่ถ้าคิดเป็น 3 ปี คือ 8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเทียบกับหลายประเทศ ถือว่าน้อย มาเลเซียนทีเดียว 9 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ในจำนวนนี้แบ่งเป็น 6 แสนล้าน สำหรับการลงทุน อีก 2 แสนล้านสำหรับปิดหีบงบประมาณ ซึ่งการหาเงิน มีวิธีหลักๆ คือ เก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่นี่เป็นปัญหาเพราะจะกลายเป็นส่งสัญญาณไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงเก็บ 3 ตัว คือ ภาษีบาป และน้ำมัน ซึ่งในส่วนน้ำมัน ตอนที่ตัดสินใจ ราคาน้ำมันในตลาดโลกต่ำ อัตราโครงสร้างภาษีจริงๆก็ไม่ได้สูง และก็ให้กองทุนน้ำมันมาสนับสนุนเพื่อชดเชยภาระภาษีน้ำมัน แต่อาจเป็นโชคไม่ดีว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก พุ่งสูงเร็วมาก จนคนเข้าใจผิดว่า มาจากการขึ้นภาษี ส่วนภาษีตัวอื่นคือ ภาษีที่ดิน ก็กำลังทำอยู่ ส่วนภาษีมรดก ตนก็ไม่ได้ให้ทิ้ง

 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อีกประการคือการกุ้ยืมเงิน ก็คำนวณจากหนี้สาธารณะ และผลิตภัณฑ์มวลรวม ก็ไต่ไปที่ ร้อยละ 60 ก็ถือว่า เยอะ แต่ทุกประเทศก็เป็นแบบนี้ อย่างญี่ปุ่นก็สูงขึ้น

แต่ก็ขยับขึ้นในสัดส่วนพอๆกัน แต่สัดส่วนที่ 60 ยังบริหารได้ ประเทศไทยเคยไปถึงสัดส่วนนี้เมื่อวิกฤตปี 40 อย่างไรก้ดี ต้องแยกเรื่องหนี้สาธารณะ กับหนี้ครัวเรือน หนี้ตรงนี้จะถูกชำระ โดยเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว รัฐก็จะมีขีดความสามารถในการชำระได้มากขึ้น ส่วนหนี้ครัวเรือน การลงทุนตรงนี้จะทำให้เกิดการจ้างงาน รักษาระดับหนี้ครัวเรือน

 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เงิน 8 แสนล้าน ก็ถกเถียงได้ว่า จะกระตุ้นอย่างไร สมาชิกมองว่า อาจทำระยะสั้นๆ แต่รัฐบาลมองว่า จะใช้เงินมากมากกระตุ้นทั้งที ก็ไปดูว่า ประเทศยังไม่เข้มแข็งตรงนี้ ก็ไปใช้เงินตรงนั้น

เช่น เกษตรผลผลิตต่ำ ปัจจัยสำคัญคือขาดน้ำ กรรมาธิการก็ศึกษากันทุกปี แต่ก็บ่นกันทุกปี คราวนี้ก็เห็นว่า เศรษฐกิจโลกฟื้นกลับมา วิกฤตอาหารจะตามมา ฉะนั้น จึงเป็นโอกาสของไทยในการเพิ่มผลผลิต จึงลงทุนเรื่องแหล่งน้ำ เป็นขนาดเล้กกระจายไปทั่วประเทศ ส่วนภาคอุตสาหกรรม ก็เป็นเรื่องโลจิสิติก สูง จึงมีการลงทุนรถไฟรางคู่ และอื่นๆ รวมถึงการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว การศึกษา การแก้ใต้โดยการพัฒนาเป็นตัวนำ เงินที่จะใช้ก็อยู่ในก้อนนี้ที่ ส.ว.จะกรุณา

 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การกู้เงิน เหตุที่ต้องออกเป็นพ.ร.ก. รัฐบาลดูหลายๆวิธีแล้ว เจ้าหน้าที่เสนอให้ออกทีเดียว 8 แสนล้านด้วยซ้ำ

แต่ตนบอกว่า ทำไม่ได้ เพราะพูดถึงระยะ 3 ปี จึงให้ไปแยกออกมา ก็ออกมาแบบนี้และแบ่งแยกความพร้อมโครงการที่จะดำเนินการ ทุ่งหวังสร้างงาน 1.5-2 ล้านคน ใน 3 ปีข้างหน้า ส่วนแก้กฎหมายหนี้สาธารณะและวิธีการงบประมาณ ทำได้ แต่ยุ่งยากมาก กว่าจะผ่านคือปลายปี ไม่ทันการ

 
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนกรณีร่างพ.ร.บ. 4 แสนล้าน ไม่น่ามาถึงวุฒิสภาวันนี้ แต่ฝ่ายค้านก็ไม่ตั้งกรรมาธิการ ดังนั้นเมื่อมาแล้ว ก็ขอให้วุฒิสภาช่วยรับและตั้งกรรมาธิการ และมาช่วยกันดูโครงการต่างๆให้รัดกุม

ตนเข้าใจที่เกรงกันถึงปัญหาการคอรัปชั่น เพราะถ้าคอรัปชั่น ไม่มีรัฐบาลใดอยู่ได้ ฝืนอยู่ยิ่งเจ็บหนัก ทั้งนี้เมื่อไม่ใช้กระบวนการงบประมาณปกติ ก็ฌให้มีการตรวจสอบ และฏโครงการเหล่านี้ก็จะไปอยู่ในงบประมาณปีหน้า มีปลัดกระทรวงการคลังคัดเลือกโครงการ ทั้งนี้ หากไม่มอบหมายกรรมาธิการคณะใดคอยติดตาม ก็ตั้งกรรมาธิการวิสามัญได้ รัฐบาลก็ยินดี หากสภาผู้แทนฯจะตั้งด้วยก็ยินดี นอกจากนี้รัฐบาลตั้งกรรมาขึ้นมาอีกชุด มีผู้ทรงคุณวุฒิหลายคนที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียมาเป็นผู้ติดตามการใช้จ่ายัท้งประสิทธิภาพและความโปร่งใส แม้ไม่ประกัน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ยืนยันได้ว่า ตนไปที่ไหน ก็ขอให้ช่วยรัฐบาลตรวจสอบ โครงการเหล่านี้จะขึ้นเว็บไซด์ด้วยว่าทำอะไรไปแล้ว ไม่มีการโยกย้ายถ่ายเท

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์