บรรยากาศความขัดแย้งทางการเมือง
ยังตลบอบอวลอยู่ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับภูมิใจไทย
โครงการรถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ยังอยู่ในฐานะตัวแปรสำคัญต่อเสถียรภาพรัฐบาล และยังอาจจะส่งผลกระทบไกลไปถึงการเลือกตั้งในอนาคตอีกด้วย
นายเนวิน ชิดชอบ ตัวจริงเสียงจริงพรรคภูมิใจไทย ประกาศโดยไม่เกรงอกเกรงใจพรรคประชาธิปัตย์ แกนนำรัฐบาลและแชมป์เมืองกรุง
ว่าหากโครงการนี้สำเร็จคนกรุงจะจดจำชื่อของพรรคภูมิใจไทยได้ และนั่นหมายถึงคะแนนนิยมที่มากขึ้นด้วย
ตรงจุดนี้เองทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา ว่าคือสาเหตุทำให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่ยอมปล่อยให้โครงการนี้ผ่านไปง่ายๆ
หรือถ้าจะให้ผ่านก็ต้องมีเรื่องการต่อรองผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาลและเลขาฯพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่าถึงอย่างไรโครงการรถเมล์ 4 พันคันนี้ต้องทำแน่นอน
แต่จะทำอย่างไรให้ได้ผลดีที่สุด เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ถือเป็นการส่งสัญญาณพบกันครึ่งทาง ตามธรรมชาติรัฐบาลผสมที่มักจะบริหารผลประโยชน์ในแบบที่ไม่มีพรรคใดได้ทั้งหมดหรือเสียทั้งหมด
สถานการณ์ขณะนี้จึงอยู่ที่พรรคภูมิใจไทยประเมินตัวเองอย่างไรในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล
พร้อมจะแข็งข้อกับพรรคแกนนำ หรือจะยอมอ่อนข้ออีกสักระยะเพื่อรอเวลาเหมาะเจาะกว่านี้
นักวิเคราะห์การเมืองหลายคน รวมถึงพรรคฝ่ายค้านเชื่อว่าเรื่องรถเมล์ 4 พันคัน ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร พรรคภูมิใจไทยก็คงยังไม่กล้าแตกหักกับพรรคประชาธิปัตย์
เนื่องจากในระยะสั้นทั้ง 2 พรรคยังมีผลประโยชน์ร่วมกันในเรื่องงบประมาณปี 2553 และเงินกู้ 8 แสนล้าน ที่กำลังจะเข้าสู่สภาอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้า
ส่วนในระยะยาวเป็นเรื่องของการเลือกตั้ง ซึ่งมีการกำหนดไว้คร่าวๆ ว่าการยุบสภาอย่างเร็วน่าจะเป็นปลายปี หรืออย่างช้าต้นปีหน้า
การผลีผลามเล่นบทเสือทลายห้างในตอนนี้จึงไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
ตรงข้ามกันช่วงนี้ยังถือเป็นช่วงเวลาแห่งนาทีทอง ที่พรรคซีกรัฐบาลจะคอยหาเศษหาเลยจากบรรดาเมกะโปรเจ็กต์ระดับพันล้านไปจนถึงหลายหมื่นล้าน
เก็บเล็กผสมน้อยไว้เป็นทุนรอนสำหรับฤดูการเลือกตั้งที่จะมาถึง
เรื่องแบบนี้นักการเมืองด้วยกันอ่านกันออก
ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดกรณีนายศักดา คงเพชร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ออกมาเปิดประเด็น"แก๊งออฟโฟร์ 2009" หรือ แก๊งออฟโฟร์สายพันธุ์ใหม่
ซึ่งมีบทบาทครอบงำและอยู่เบื้องหลังการประสานประโยชน์จากโครงการต่างๆ ในรัฐบาล
ใครเป็นใครใน 4 คนพอจะรู้ๆ กันอยู่
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคหุ่นเชิด ปฏิเสธข่าวโจมตีแก๊งออฟโฟร์ในพรรคภูมิใจไทย แบบข้างๆ คูๆ ว่าไม่รู้จักแก๊งออฟโฟร์ในไทย รู้จักแต่ในจีนแดง
เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ
"อยู่เบื้องหลังใคร ผมไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไม่รู้ว่าเป็น 4 คนไหน"
แน่นอนว่านายอภิสิทธิ์ต้องปฏิเสธไว้ก่อน
เนื่องจากแต่ไหนแต่ไรมา คำว่า"แก๊งออฟโฟร์" สื่อความหมายทางการเมืองไปในทางที่ไม่ค่อยดีนัก
ทั้งแก๊งออฟโฟร์ที่เคยโด่งดังในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช 2 ใน 4 ก็คือตัวนายกฯขณะนั้น และนายเนวิน ชิดชอบ
หรือแก๊งออฟโฟร์พรรคประชาธิปัตย์ในช่วงจัดตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ประกอบด้วยผู้ใกล้ชิดแกนนำพรรค มีทั้งชายและหญิง
ล้วนแต่ถูกมองเป็นการตั้งแก๊งขึ้นมาเพื่อจัดสรรอำนาจและแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมือง
เข้าพกเข้าห่อพวกพ้องตัวเองแทบทั้งสิ้น
สำหรับพรรคภูมิใจไทยนั้น
ล่าสุดเปิดตัวชัดเจนว่าพร้อมจะเป็นคู่แข่งกับพรรคใหญ่อย่างเพื่อไทยและประชาธิปัตย์
จากที่เคยตั้งเป้าเป็นเพียงพรรคอันดับ 3 ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
แต่หลังจากงานสัมมนาพรรคแบบเรียลลิตี้โชว์ที่ จ.สกลนคร นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคก็มั่นใจในตัว"ครูใหญ่"อย่างนายเนวิน ชิดชอบ มากขึ้น
ถึงกับประกาศท้าชิงพรรคอันดับ 1 กับเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ และเริ่มออกลีลาแบ่งรับแบ่งสู้บ้างแล้วกับตำแหน่งผู้นำสูงสุดทางการเมือง
และถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง การเมืองภายหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า จะหวนกลับคืนสู่วงจรอันตรายเดิมๆ อีกหรือไม่ ยังเป็นเรื่องน่าสงสัย
เพราะเอาเข้าจริงแล้ว แกนนำแต่ละคนหรือแม้แต่ส.ส.ที่ไหลมารวมกันเป็นพรรคภูมิใจไทย คือวัตถุดิบเดียวกับที่เคยประกอบกันเป็นพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทยมาก่อนแทบจะทั้งหมดก็ว่าได้
ด้านพรรคประชาธิปัตย์เองคงไม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานอะไรให้ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ที่กล้ำกลืนเป็นรัฐบาลอยู่ตอนนี้ก็ถูกวิจารณ์เละเทะว่าอยู่เพียงเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ
ที่คาดเดากันคืออยู่เพื่อรอจังหวะ ตัวเองพร้อมทั้ง"กระแส"และ"กระสุน"เมื่อไหร่ จะประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ทันทีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการกลับคืนสู่อำนาจ
ตามแท็กติกพื้นๆ ของคนเป็นนายกรัฐมนตรี
แต่ดูจากสถานการณ์ภายในรัฐบาลปัจจุบัน บวกกับอัตราการเติบโตอย่างน่ากลัวของพรรคภูมิใจไทย
ทฤษฎีที่ว่าอาจกลับตาลปัตร
กลายเป็นว่ายิ่งยุบสภาช้าเท่าใด ประชาธิปัตย์อาจจะยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น