วันนี้ (14 เม.ย.) เวลา 21.15 น. พันเอก สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก
พร้อมด้วยนายแพทย์ธีระชัย อุกฤษฎ์มโนรถ ศัลยแพทย์ โรงพยาบาลราชวิถี และ พันเอก นายแพทย์ดุษฎี ทัตตานนท์ ผู้อำนวยการ กองออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ร่วมกันแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
พันเอก สรรเสริญ กล่าวว่า ขณะนี้กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) สามารถที่จะคลี่คลายสถานการณ์และควบคุมสถานการณ์การชุมนุมได้ในระดับหนึ่งแล้ว
คงเหลือการชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพียงแห่งเดียวคือพื้นที่ท้องสนามหลวง ซึ่งมีกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 400-500 คน ในการชุมนุมในพื้นที่ท้องสนามหลวงนั้นมีความพยายามที่จะบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยกล่าวอ้างว่าในการปฏิบัติภารกิจของทหาร 2 วัน ที่มีการสลายการชุมนุมนั้น เจ้าหน้าที่ทหารได้ใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มผู้ชุมนุมเสียชีวิต โดยได้มีการนำภาพ 2 ภาพมาแจกจ่ายในที่ชุมนุม และมีการเผยแพร่ข้อมูลภาพนี้ทางอินเตอร์เน็ต และส่งต่อทางอีเมล์ต่อไปในกลุ่มผู้คนที่รู้จัก จุดประสงค์เพียงเพื่อปลุกระดมให้มีผู้มาร่วมชุมนุมมากขึ้น
ภาพแรกเป็นภาพการใช้กระสุนซ้อมรบในการเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งการใช้กระสุนอาวุธในการสลายการชุมนุมนั้น มีอยู่ 2 ลักษณะ
ลักษณะแรกคือการใช้กระสุนจริงยิงขึ้นฟ้า เพื่อที่จะข่มขวัญกลุ่มผู้ชุมนุม ในขณะเดียวกันถ้ากลุ่มผู้ชุมนุมมีอากัปกิริยาที่จะเข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ เราจะใช้กระสุนซ้อมรบ ซึ่งไม่มีหัวกระสุนในการเล็งเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อเป็นการข่มขวัญ โดยมีแต่เสียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งการดำเนินการในการสลายการชุมนุมทั้ง 2 ลักษณะนี้เราไม่ได้ปิดกั้นการทำข่าวของสื่อมวลชนแต่ประการใด เพราะฉะนั้น สื่อมวลชนที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุจะเป็นพยานได้เป็นอย่างดี ว่าไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจในการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ทหาร และในภาพที่ 2 เป็นภาพของนายไสว ทองอ้ม ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นผู้ชุมนุมที่เสียชีวิตจากการถูกกระสุนเอ็ม 16 จึงได้เชิญนายแพทย์ 2 ท่านมาร่วมชี้แจงเพื่อสร้างความกระจ่างต่อประชาชนด้วย
ทบ.ยันลูกปืนปลอม เผยทหารถูกยิงเจ็บ4
นายแพทย์ธีระชัย กล่าวว่า ขณะที่นายไสวมาโรงพยาบาลราชวิถีในวันที่เกิดเหตุ ผู้ป่วยลักษณะมีบาดแผลที่มีลักษณะเป็นรูบริเวณรักแร้ด้านซ้าย
บาดแผลมีเลือดออกมาก ขณะที่ผู้ป่วยมาถึงโรงพยาบาลวัดสัญญาณชีพไม่ได้ และมีเลือดออกจากบาดแผลมาก ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตโดยการปั๊มหัวใจที่ห้องฉุกเฉิน และได้รับการให้เลือด ต่อมาได้รับการผ่าตัดด่วน พบว่ามีลักษณะเส้นเลือดฉีกขาดบริเวณบาดแผล ซึ่งมีลักษณะเป็นรู บาดแผลดังกล่าวตัดผ่านบริเวณของเส้นเลือดของแขนข้างซ้าย เส้นเลือดดำ เส้นเลือดแดง และเส้นประสาทบางส่วน แพทย์ได้ทำการผ่าตัดโดยเอาเส้นเลือดมาต่อเป็นเส้นเลือดเทียมต่อชั่วคราว เพื่อให้ผู้ป่วยรอดชีวิต หลังผ่าตัดผู้ป่วยมีสัญญาณชีพเป็นปกติ และได้รับการรักษาในห้องไอซียู และในวันนี้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง โดยการนำเส้นเลือดที่เป็นของผู้ป่วยจริงมาต่อทดแทนเส้นเลือดเทียม ผู้ป่วยมีสติสัมปชัญญะดี เนื่องจากมีบาดแผลเดียว
พันเอก นายแพทย์ดุษฎี ได้อธิบายว่าบาดแผลที่เกิดจากอาวุธที่เรียกว่าอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นอาวุธที่มีความร้ายแรง และมีแรงสูง
ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจากอาวุธสงครามเหล่านี้ จะเห็นว่ารูปที่ 1 รูปบนเป็นภาพของรูกระสุนที่เข้า ภาพล่างเป็นภาพรูกระสุนที่ออก จะเห็นว่าขนาดของรูกระสุนที่ออกนั้นมีขนาดใหญ่มาก ดังนั้น ความร้ายแรงของกระสุนที่เกิดจากอาวุธสงคราม โดยเฉพาะเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของทหารนั้นจะมีความร้ายแรง ส่วนรูปที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ถ้าหากโดนกระสุนของเอ็ม 16 เช่น บริเวณท่อนขา ถ้ากระสุนโดนที่กระดูกจะทำให้กระดูกแตกค่อนข้างละเอียด แล้วมีส่วนของกระดูกหายไปด้วย นอกจากนี้บาดแผลที่โดนจะเห็นว่ามีบาดแผลที่ค่อนข้างใหญ่และร้ายแรงมาก สาเหตุเนื่องจากกระสุนเอ็ม 16 เป็นกระสุนที่มีความเร็วสูงมาก เพราะฉะนั้น จึงมีพลังงานอยู่ในหัวกระสุนมาก
เมื่อกระทบโดนผู้ป่วยและเข้าไปในเนื้อผู้ป่วย กระสุนจะวิ่งชอนไชเข้าไปข้างใน แล้วเมื่อไปกระแทกหรือไปกระทบกับสิ่งที่ขวางกั้น เช่น กระดูก ก็จะทำให้กระดูกแตกละเอียด
นอกจากนั้นตัวกระสุนเองยังมีพลังงานที่เหลืออยู่ ก็จะทำให้กระสุนแตกกระจาย เปรียบเสมือนการเข้าไประเบิดข้างในอีกครั้งหนึ่ง จึงทำให้เกิดผลที่ว่าทำไมแผลที่ออกนั้นจึงมีแผลที่ใหญ่มาก ดังนั้น ภาพที่ได้เห็นของนายไสวจะเห็นว่าในส่วนของบาดแผลที่เป็นรูเข้าและเป็นรูออกนั้น เป็นบาดแผลขนาดเล็ก ไม่ใหญ่ จึงสามารถยืนยันได้ว่ากระสุนที่โดนนายไสวนั้น ไม่ได้เป็นกระสุนที่เกิดจากอาวุธประจำกายของทหารราบ หรือเอ็ม 16 แน่นอน
พันเอก สรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ชี้แจงให้ทราบ คงจะเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่านายไสวที่ถูกกล่าวอ้างว่าเสียชีวิตแล้ว
ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ และบาดแผลที่ได้รับนั้นไม่ได้เกิดจากอาวุธปืนเอ็ม 16 ซึ่งเป็นอาวุธที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้ในการปฏิบัติภารกิจสลายการชุมนุมในครั้งนี้ นอกเหนือจากกรณีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนกรณีของนายไสวแล้ว ยังมีอีก 2 คนคือ นายศุภสิทธิ์ คนโถฉิมพลี อายุ 45 ปี ถูกยิงที่ขาขวา กระดูกหัก กระสุนทะลุ แพทย์ผู้รับผิดชอบบอกว่าบาดแผลของนายศุภสิทธิ์น่าจะเกิดจากอาวุธปืนลูกซอง
อีกรายคือนายสนอง พานทอง อายุ 34 ปี ถูกยิงที่เข่าขวา กระดูกสะบ้าแตก แพทย์เจ้าของไข้บอกว่าได้ผ่าเอากระสุน 9 มม.ออกมาแล้ว
ซึ่งทั้งสองกรณีนี้จะเห็นว่าทั้งกระสุนลูกซองและกระสุน 9 มม. เป็นกระสุนที่ไม่ได้มีใช้ในหน่วยกำลังรบของกองทัพ รวมทั้งไม่ได้นำมาใช้ในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ สำหรับเจ้าหน้าที่ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากกระสุนปืนนั้นมี 4 นาย คือ พลทหาร พนมรุ้ง จิตเสนาะ ถูกยิงที่ขาซ้ายทะลุ จ่าสิบเอก สุบินทร์ สิงห์เรือง ถูกยิงที่ขาขวาทะลุกระดูก เส้นเอ็นขาด พลทหารทรงยศ ก้อนทอง ถูกยิงที่ขาขวา กระสุนฝังใน และพลทหาร วศิน แสนจันทร์ ถูกยิงที่แขนซ้ายท่อนบน ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันเป็นอย่างดีว่ากลุ่มผู้ชุมนุมนั้นได้มีการใช้อาวุธปืนยิงเข้ามายังเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติภารกิจ
โฆษกกองทัพบก กล่าวย้ำว่า ในการปฏิบัติภารกิจในการสลายการชุมนุมนั้น เจ้าหน้าที่กระทำด้วยความระมัดระวัง ไม่ต้องการที่จะให้มีผลกระทบต่อกลุ่มผู้ชุมนุม
โดยไม่ประสงค์ที่จะให้มีการสูญเสียเลือดเนื้อของประชาชนคนไทยด้วยกันเอง จึงขอให้ประชาชนได้เข้าใจว่า การได้รับข้อมูลข่าวสารนั้นต้องใช้วิจารณญาณในการรับชม อย่าหลงเชื่อหวั่นไหว แล้วหลงกลต่อการสร้างเรื่องราวต่าง ๆ ของกลุ่มผู้ไม่หวังดี และขอความกรุณาอย่าได้ออกมาร่วมชุมนุมตามคำเชิญชวน ทั้งนี้ เพื่อช่วยกันสร้างความสงบให้กับบ้านเมืองกลับคืนมาโดยเร็ว