กรุงเทพธุรกิจ
28 กรกฎาคม 2549 16:17 น.
ทักษิณ กับบรรหาร กินหูฉลามกันก็ควรจะเป็นข่าวแค่คนสองคนนี้กินข้าวด้วยกันอีกหนึ่งมื้อ...เท่านั้นจริงๆ...ไม่ควรที่คนไทยจะหลงเข้าใจผิดคิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตว่าด้วย "สมานฉันท์" ของประเทศ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ใครที่เรียกตัวเองว่าเป็น "คอการเมือง" ก็ต้อง "ทันการเมือง" และไม่ควรจะให้นักการเมืองดีอกดีใจว่าสามารถหลอกล่อให้เราคิดว่าเพียงแค่คนสองคนกระซิบนักข่าวให้ไปทำข่าวว่าไปกินหูฉลามด้วยกันแล้วก็ควรจะสร้างพาดหัวหนังสือพิมพ์ให้ผู้คนในบ้านเมืองหลงคิดว่า นี่เป็นข่าวการเมืองระดับชาติ ที่อาจจะนำไปสู่ "การผ่าทางตัน" ของการเมือง
เป็นไปได้ว่าสองหัวหน้าพรรคอาจจะพูดกันถึงการที่ใครจะยื่นอะไรให้ใคร...ซึ่งเป็นเรื่องปกติทางการเมือง ไม่ควรจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นกลายเป็นข่าวที่จะต้องวิเคราะห์เจาะลึกอะไรกันหนักหนา
เป็นไปได้ว่าทักษิณ ต้องการ "ใช้" การกินข้าวกับบรรหารสร้างภาพว่าตัวเองกำลังต้องการจะ "สมานฉันท์" กับกลุ่มต่างๆ ในประเทศ
แต่ก็ได้แต่เพียงแค่สร้างภาพ...ซึ่งไม่ใช่ว่าคุณบรรหาร รู้ไม่ทัน...แต่ทั้งๆ ที่รู้ทัน หัวหน้าพรรคชาติไทย ก็ยินดีเข้าร่วมกระบวนการสร้างภาพนั้นด้วย...เพราะสามารถจะบอกกับนักข่าวว่า "ผมเตือนคุณทักษิณแล้วว่าต้องระวังการพูดการจา อย่าเผาตัวเองทางการเมือง"
ทักษิณ นึกว่าตนเองจะได้คะแนนจากการกินข้าวกับบรรหารที่จะออกเป็นข่าว
บรรหาร ก็คิดว่าตนเองได้คะแนนจากการกินข้าวกับทักษิณ หากมื้อนี้เป็นข่าวเพราะเสมือนเล่นบทเป็น "คนกลาง" แห่งความสมานฉันท์ทั้งๆ ที่ก็ยังไม่แน่ใจว่าอะไรๆ ที่ทักษิณ เสนอระหว่างการกินหูฉลามมื้อนี้จะเชื่อได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม
สำหรับคนทำข่าวแล้ว ทั้งทักษิณ และบรรหาร ต้องการให้การพบกันครั้งนี้เป็นข่าวออกไปเท่านั้น เรื่องของเนื้อหาสาระไม่ใช่ประเด็น
เพราะถ้าหากทักษิณ ต้องการสมานฉันท์จริงๆ ก็ไม่จำเป็นจะต้อง "สร้างโอกาสแห่งข่าว" อย่างที่ทำอยู่ เพราะทั้งสองคนสามารถยกหูโทรศัพท์พูดคุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้มากกว่าการไปกินข้าวในร้านอาหารที่โด่งดังและพลุกพล่านอย่างนั้น
ถ้าทักษิณ กับบรรหาร จะคุยกันถึงเนื้อหาจริงๆ ว่าจะช่วยกันประสานกับกลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อลดความขัดแย้งและเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้งอย่างยุติธรรมอย่างแท้จริง ก็คงจะเชื้อเชิญคนอื่นๆ ที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนนี้ไปนั่งคุยกันอย่างเปิดอก โดยไม่จำเป็นจะต้องสร้างสถานการณ์ให้นักข่าวแห่กันไปเป็นพรวน
ที่กระซิบบอกนักข่าวให้รู้ว่าทั้งสองคนไปกินอะไรที่ไหนนั้น ก็เพื่อจะได้บอกนักข่าวว่า "ไม่มีอะไร...นัดกินหูฉลามกันธรรมดา" เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสังคมว่าความจริงนั้นมีอะไรสำคัญมากๆ สำหรับทั้งสองคน และถ้าหากคนทั่วไปเข้าไปต่อไปว่านี่คือการ "สมานฉันท์" อันยิ่งใหญ่ของประเทศได้ ทั้งสองหัวหน้าพรรคก็จะยิ่งยินดีปรีดาเป็นแน่แท้
จะว่าไปแล้ว หากสื่อที่ได้รับทราบว่าทักษิณ นัดบรรหาร ไปกินหูฉลามแล้วก็อยู่เฉยๆ เสีย ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปรอหน้าร้านอาหารแห่งนั้นให้เป็นที่เอิกเกริก เชื่อไหมว่าทั้งสองคนก็อาจจะไม่ไปกินที่นั่น...และอาจจะไม่มีอาหารมื้อนี้เกิดขึ้นก็ได้
นักข่าวเพียงแค่เรียนท่านทั้งสองว่าเมื่อเจอกันแล้ว หากมีข้อเสนออะไรที่น่าสนใจของทั้งสองฝ่าย หรือหากทั้งสองท่านมีข้อตกลงกันอย่างไร ก็กรุณาจัดแถลงข่าวอย่างเปิดเผยและเป็นทางการเพื่อความชัดเจนโปร่งใส ก็จะเป็นข่าวที่ได้น้ำได้เนื้อ เป็นสาระสำหรับการเมืองระดับชาติอย่างแท้จริงมากกว่า เช่น คุณบรรหาร บอกว่าได้เสนอให้ทักษิณ เว้นวรรคอย่างเป็นเรื่องเป็นราว และทักษิณรับปากแล้ว
หรือทักษิณ บอกกับบรรหาร ว่าได้ตัดสินใจเพื่อสร้างสมานฉันท์ด้วยการลาออกจากการเมืองแล้ว
อย่างนี้จึงจะเรียกว่าเป็นเรื่องเป็นราวที่ช่วยให้บ้านเมืองบรรลุความเป็นสมานฉันท์อย่างแท้จริง
แต่ถ้าหากเป็นการ "จุ๊กจิ๊ก" ระหว่างเพื่อนในแวดวงการเมืองธรรมดา คุณค่าของความเป็นข่าวก็ไม่มี
เพราะสำหรับทั้งสองท่านนี้ หูฉลามมื้อนี้ไม่ได้ต้องการกินให้อร่อย แต่ต้องการเป็นข่าวต่างหาก
ถ้าเราบอกว่าอย่างนี้ไม่เป็นข่าว อาหารมื้อนี้ก็ไม่เกิด