สรุปวิธีแจกเงิน 2 พัน เป็นเช็ค "ไพฑูรย์" ยอมถอย หลังคุย "กอร์ปศักดิ์" แล้ว เชื่อไม่ยุ่งยาก ใช้แบบเดียวกับการคืนภาษี ด้าน สศค.เตรียมคลอด 5 มาตรการช่วยเหลือแรงงาน ให้นายจ้างที่ขาดทุน แต่ไม่ปลดคนงาน สามารถนำรายจ่ายค่าจ้างไปลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ก.ท่องเที่ยวฯของบฯ 5 พันล้าน ช่วยเอสเอ็มอี
นายไพฑูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กับ "มติชน" เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ถึงความชัดเจนเกี่ยวกับแนวทางการจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพแก่ผู้ประกันตนที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท รายละ 2,000 บาท ว่า ได้หารือกับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี แล้วได้ข้อสรุปตรงกันว่าจะใช้วิธีการสั่งจ่ายเป็นเช็คเงินสด ในรูปแบบเดียวกับการจ่ายเช็คคืนภาษีให้กับประชาชน ซึ่งไม่ยุ่งยากเหมือนการการออกเช็คปกติที่จะต้องมานั่งเซ็นชื่อกำกับกัน เพราะแค่ป้อนข้อมูลเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ และจัดพิมพ์ออกมาก็เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนการใช้ง่าย หากใครต้องการนำเงินเข้าบัญชีไว้ก่อนสามารถนำไปแจ้งกับธนาคารได้ทันที หรือจะนำไปใช้แทนเงินสดในการซื้อสินค้าก็ได้
"ตอนแรกผมเข้าใจว่า จะทำกันเป็นเช็คปกติ จึงกลัวว่าจะเสียเวลาในการให้เจ้าหน้าที่มานั่งเซ็นกัน เพราะจำนวนคนที่ได้รับสิทธิมีมากกว่า 8 ล้านคน ขณะที่เวลามีจำกัด เพราะเราตั้งใจว่าจะจ่ายเงินให้กับประชาชนให้ได้ครบก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ เพื่อที่จะให้ประชาชนนำเงินไปจับจ่ายใช้สอย แต่พอได้คุยกับคุณกอร์ปศักดิ์จึงเข้าใจตรงกันแล้ว" นายไพฑูรย์กล่าว
นายไพฑูรย์กล่าวว่า สำหรับผู้มีสิทธิในต่างจังหวัดจะให้สำนักงานประกันสังคมจังหวัดต่างๆ เป็นจุดให้บริการ ผู้มีสิทธิได้รับเงินสามารถมาติดต่อขอรับเช็ค โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง ส่วนโรงงานและบริษัทต่างๆจะส่งเจ้าหน้าที่ไปให้บริการถึงที่ ส่วนคนที่อยู่ที่บ้านจะจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์ไปให้ ซึ่งเสียค่าใช้จ่ายไม่มากนัก
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นชอบกับแนวทางนี้หรือยัง นายไพฑูรย์กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่านายกอร์ปศักดิ์แจ้งผลการหารือเรื่องนี้ให้ทราบหรือยัง แต่โดยส่วนตัวเชื่อว่านายกฯไม่ได้กังวลกับรูปแบบการจ่ายเงิน แต่สนใจว่าเมื่อมีการจ่ายเงินไปแล้ว เงินจะถูกนำไปใช้จ่าย เศรษฐกิจก็จะเกิดการหวุนเวียนหลายรอบ
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำมาตรการช่วยเหลือด้านแรงงาน 5 มาตรการ ของ สศค.ว่า คาดว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเพื่อเสนอต่อนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายในเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับมาตรการช่วยเหลือด้านแรงงาน 5 มาตรการ ประกอบด้วย 1.มาตรการทางด้านภาษี ที่จะให้บริษัทที่ขาดทุนจากการดำเนินกิจการ หากไม่เลิกจ้างคนงาน จะให้นำต้นทุนที่เป็นค่าจ้างแรงงานมาหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า แต่ยอมรับว่าทำได้ไม่ง่ายนัก
2.การจัดตั้งกองทุนแรงงานนอกระบบ เพื่อดูแลแรงงานนอกระบบประมาณ 20 ล้านคน ให้ได้รับสวัสดิการ เช่น คนขับมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย คนขับรถแท็กซี่ เป็นต้น 3.ผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) นำงบประมาณที่ยังค้างท่ออีกกว่า 1 แสนล้านบาท มาดำเนินโครงการที่เป็นการจ้างงาน ซึ่งรัฐบาลอาจจะช่วยจ่ายสมทบส่วนหนึ่งด้วย
4.ให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐคิดโครงการเฉพาะด้านแรงงานขึ้น โดยเชื่อมโยงกับหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น 5.ผลักดันการจัดตั้งกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) ที่เสนอมาแล้วหลายรัฐบาลแต่ยังไม่ผ่าน โดยเบื้องต้นจะต้องจัดตั้งเป็นกองทุนแรงงานนอกระบบ อาจจะรวมเข้ากับกองทุนบำเหน็จบำนาญแห่งชาติ (กบช.) เป็นกองทุนเดียว
แหล่งข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 17 กุมภาพันธ์ นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาอนุมัติหลักการโครงการช่วยเหลือ
ด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และ ดอนเมือง โดยแยกเป็นการให้วงเงินกู้เพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่เป็นลูกหนี้เดิมของธนาคารพาณิชย์ ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยให้รัฐบาลจัดสรรวงเงินเพื่ออุดหนุนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี และอุดหนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกันเงินกู้แก่บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร้อยละ 1.50 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี
ส่วนมาตรการที่ 2 การสนับสนุนเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) วงเงินกู้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ให้รัฐบาลจัดสรรวงเงินเพื่ออุดหนุนอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี และอุดหนุนค่าธรรมเนียมค้ำประกันเงินกู้แก่ บสย. ร้อยละ 1.50 ต่อปี เป็นระยะเวลา 2 ปี
แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเสนอขออนุมัติวงเงิน 245 ล้านบาท เป็นค่าดำเนินการ โดยแยกเป็นงบกลาง จำนวน 122 ล้านบาท จากรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ 2552 ที่ ครม.พิจารณาอนุมัติเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2551 โดยจัดสรรให้แก่ ธพว. เป็นเงิน 107 ล้านบาท บสย. 11 ล้านบาท และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ 4 ล้านบาท
ส่วนเงินอีกก้อนจำนวนกว่า 122 ล้านบาท ให้จัดสรรจากงบฯปี 2553 โดยจัดสรรให้กับ ธพว. จำนวน 107 ล้านบาท บสย.กว่า 11 ล้านบาท และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ อีก 4 ล้านบาท โดยจะตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการขึ้นมาหนึ่งชุดด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวฯยังจะเสนอให้ที่ประชุม ครม.อนุมัติให้ ธพว. แยกบันทึกบัญชีตามมนโยบายของรัฐ Public Service Account (psa) ออกจากการดำเนินงานปกติ และอนุมัติให้รัฐบาลชดเชยความเสียหายจากการสนับสนุนโครงการนี้ด้วย
"อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จะขอให้ที่ประชุม ครม.อนุมัติให้คณะกรรมการบริหารโครงการนี้ มีอำนาจพิจารณาปรับวงเงินกู้ในโครงการนี้ตามความต้องการวงเงินกู้ที่ผู้ประกอบการมีความประสงค์ได้ตามความเหมาะสมด้วย" แหล่งข่าวระบุ
อนึ่ง ก่อนหน้านี้กระทรวงท่องเที่ยวฯเสนอให้รัฐบาลจัดทำมาตรการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว ในวงเงิน 55,000 ล้านบาท แต่หลังจากที่หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่าเป็นวงเงินที่สูงเกินไป จึงลดวงเงินเหลือเพียง 5,000 ล้านบาท ก่อนเป็นระยะแรก และลดเวลาการชดเชยส่วนต่างของดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ จาก 4 ปี เหลือเพียง 2 ปี และลดอัตราชดเชยส่วนต่างของดอกเบี้ยจาก 3% เหลือเพียง 2%
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุม ครม. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ กระทรวงคมนาคมจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาการขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2551 รายการค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างโครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน สายสีแดงของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ด้วย
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศขึ้นมาอีกครั้ง โดยมอบหมายให้นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อผลักดันขีดความสามารถของประเทศด้วยการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการใน 6 อุตสาหกรรม คือ อาหาร, ผลิตภัณฑ์ที่สร้างสรรค์จากภูมิปัญญา หรือครีเอทีฟ โปรดักส์, การท่องเที่ยว, ระบบโลจิสติกส์, พลังงานทางเลือก และผลิตภัณฑ์ที่รักษาสิ่งแวดล้อม หรือกรีนโปรดักส์ เพื่อยกระดับให้ทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยวางเป้าหมายให้เป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวอย่างยั่งยืน และจะมีการจัดทำในรูปแผนยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศไทยปี 2030
"นายกรัฐมนตรีจะเชิญภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มาร่วมกันระดมสมองว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการที่ไทยมีศักยภาพเหล่านี้ได้อย่างไร ที่ผ่านมาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาจากภาคบริการมากถึง 40% ดังนั้น หากไทยสามารถพัฒนาขีดความสามารถโดยการเพิ่มมูลค่าให้กับ 6 อุตสาหกรรมได้ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้มากขึ้น" นายอภิรักษ์กล่าว
ด้านนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวยันยืนว่า แนวทางการจ่ายเงิน 2,000 บาทให้กับผู้มีสิทธิในรูปแบบเช็คเงินสดเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด และจะไปศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการออกเช็คว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด และในการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันที่ 18 กุมภาพันธ์ จะมีตัวแทนจากคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) มาหารือในเรื่องนี้ด้วย โดยเฉพาะการประสานงานให้ผู้ประกอบการสนับสนุนแนวทางการใช้เช็คแทนเงินสดในการซื้อสินค้า รวมถึงการให้สิทธิลดพิเศษด้วย หากดำเนินการในรูปการจัดมหกรรมส่งเสริมครั้งใหญ่ได้ ก็จะยิ่งดี
"ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการธุรกิจ คงไม่มีปัญหาในการรับเช็ค เพราะเป็นเช็คของรัฐบาล ไม่มีการปลอมแน่ และยืนยันว่า ผู้ประกอบการทุกรายมีสิทธิเข้าร่วมด้วย ตั้งแต่ร้านโชห่วยไปจนถึงโรงแรม" นายกอร์ปศักดิ์กล่าว
นายกอร์ปศักดิ์กล่าวว่า สำหรับการพิจารณาเรื่องงบประมาณปี 2553 ในการประชุม ครม. วันที่ 17 กุมภาพันธ์ นี้ จะเป็นการพิจารณาในเรื่องกรอบการใช้จ่ายงบประมาณ ทั้งในส่วนของรายได้ และรายจ่าย รวมถึงการกู้เงิน อย่างไรก็ตาม การพิจารณาใช้จ่ายงบประมาณปี 2553 จะเน้นเรื่องการจ้างงานเป็นหลัก
ไพฑูรย์ ยอมถอยใช้วิธีแจกเงิน 2 พันเป็นเช็ค ชี้ไม่ยุ่งยาก ก.ท่องเที่ยวของบฯ 5 พันล้านช่วงเอสเอ็มอี
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ไพฑูรย์ ยอมถอยใช้วิธีแจกเงิน 2 พันเป็นเช็ค ชี้ไม่ยุ่งยาก ก.ท่องเที่ยวของบฯ 5 พันล้านช่วงเอสเอ็มอี