วันนี้ ( 1 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงปัญหาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศและเงินคงคลังที่ลดลง ว่า เป็นเรื่องของกระแสเงินสด
เชื่อว่าไม่น่ามีปัญหาในการบริหารจัดการ ขอให้มั่นใจตรงนี้ ส่วนที่รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้น้อยนั้น ทราบมาตั้งแต่ตอนต้นที่วางแผนกรอบการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ตั้งสมมติฐานแล้วว่าการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายประมาณร้อยละ 10 ส่วนที่ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่าต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศด้วย นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้สรุปตรงนั้น แต่ถ้าจะกู้เงินมา ก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่มีเงินทำในสิ่งที่ตั้งใจจะทำ ถ้าจะกู้มาก็เพื่อนำมาทำงานเพิ่มเติม เพราะเราไม่มีปัญหาที่จะต้องกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อมาบริหารจัดการกับโครงการต่างๆ อีกทั้งทุนสำรองระหว่างประเทศมีอยู่เหลือเฟือ แต่ไม่ได้นำออกมาใช้ สิ่งที่รัฐบาลทำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเงินฝืด
นอกจากนี้ การที่ตนเองเดินทางไปประชุมที่เมืองดาวอส ถือเป็นโอกาสดีที่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับอีกหลายสิบประเทศ ซึ่งทุกประเทศก็ตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ให้เกิดภาวะเงินฝืด
ขณะที่เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ ได้มีการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 โดยมีนายกรณ์ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือโครงการเอสเอ็มแอลเดิม จำนวน 15,000 ล้านบาท ซึ่งกรรมาธิการจากฝ่ายค้านและรัฐบาลมีความเห็นสอดคล้องกันว่า หน่วยราชการไม่ควรวางหลักเกณฑ์อย่างเข้มงวดเกินไป แต่ควรให้อิสระชาวบ้านในแต่ละชุมนุมว่า โครงการใดจะเป็นประโยชน์สูงสุด ยกเว้นห้ามปล่อยกู้หรือเอาเงินไปแบ่งกันเองภายในหมู่บ้าน โดยให้ส่วนราชการคอยกำกับดูแลเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายความคิดของชาวบ้าน
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี กรรมาธิการฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ ถามว่า เหตุใดโครงการเอสเอ็มแอลเกือบ 1 หมื่นหมู่บ้านวงเงินเดิม คือ 6,000 ล้านบาท จึงยังไม่มีการโอนเงินไปยังหมู่บ้าน
ซึ่งนายพงษ์เทพ ถิฐาพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (พพพ.) ชี้แจงว่า มีเม็ดเงินพร้อมที่จะโอนให้อยู่แล้ว เพียงแต่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนถูกยุบไปเสียก่อน ทุกอย่างจึงหยุดชะงัก หากรัฐบาลชุดนี้อนุมัติเม็ดเงินก็พร้อมจะลงไปยังหมู่บ้านทันที
อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการฯ หลายคน อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ จากพรรคเพื่อไทย
ได้สงวนความเห็นที่จะอภิปรายในวาระสองเกี่ยวกับชื่อแผนงานที่จะขอให้กลับไปใช้ชื่อกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งเป็นชื่อเดิมสมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยไม่มีการเสนอปรับลดงบประมาณในส่วนนี้แต่อย่างใด จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณาต่อในโครงการเพิ่มศักยภาพผู้ว่างงานเพื่อสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน 6,900 ล้านบาท โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน ส.ส.ประจวบคีรีขันธ์ กรรมาธิการจากพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า เป้าหมายที่จะช่วยผู้ตกงานจำนวน 2.4 แสนคนนั้น เกรงว่าไม่น่าจะครอบคลุม เนื่องจากเชื่อว่า ภายใน 2 ปี จะมีคนว่างงานจำนวน 1.2 ล้านคน อาจเกิดปัญหาเรื่องความเป็นธรรมในการคัดสรรผู้ตกงานเข้าฝึกอบรม และเห็นว่าเรื่องสำคัญเช่นนี้ ควรให้กระทรวงแรงงานเป็นแม่งานในการดำเนินโครงการ ไม่ใช่สำนักนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน กรรมาธิการฯ ยังได้เสนอให้ผู้ใช้แรงงานที่มีเวลาว่างมาร่วมฝึกอาชีพด้วย ไม่ควรจำกัดเฉพาะผู้ที่ตกงานเท่านั้น
เพื่อจะได้เปิดกว้างให้เกิดการเข้าถึงแหล่งงาน และควรให้สถานประกอบธุรกิจเอกชนมามีส่วนร่วมในการฝึกอาชีพร่วมกับสถาบันการศึกษา เนื่องจากเข้าใจลักษณะงานที่ต้องการแรงงานเพิ่มเติมเป็นอย่างดี ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับข้อสังเกตที่กรรมาธิการเสนอ โดยไม่มีการปรับลดงบประมาณ