แม่ทัพภาคที่4นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงกรุยทางสางไฟใต้

แม่ทัพภาคที่ 4 นำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงกรุยทางสางไฟใต้ เสริมสร้างความเข้าใจ เพื่อลดความหวาดระแวงระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชนในพื้นที่ "อังคณา" จี้รัฐบาล-หน่วยความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนภาคใต้เร่งคลี่คลายปมคาใจสังหาร "อิหม่าม" มัสยิดกาหยี ขณะที่โจรใต้ยังป่วนไม่เลิก เผาตู้โทรศัพท์-ประกบยิง "โต๊ะบิหลั่น" บ้านสาวอ

 พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า แนวความคิดในการนำทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็นแนวในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกิดขึ้นจากแนวทางการทำงานเรื่องป่าไม้ เพื่อสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยแนวคิดทำอย่างไรให้คนรักษาป่า พร้อมกันนั้นได้นำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงดำเนินการควบคู่จนประสบผลสำเร็จที่ภาคอีสาน และเมื่อเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ได้นำมาขยายผลในพื้นที่ ด้วยการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจชุมชนขึ้นที่บริเวณหน้าค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี

 "หลังดำเนินโครงการให้ประมาณ 1 เดือนเศษ พบว่าได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างยิ่ง ขณะนี้มีประชาชนในพื้นที่ให้ความสนใจเข้ามารับการอบรมกว่า 8,000 คน โดยมีอาสาสมัครภาคประชาชนในพื้นที่เป็นวิทยากรและมีการทดลองปฏิบัติจริง เมื่อผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ก็สามารถนำไปขยายผลกับประชาชนในพื้นที่ต่อไป สำหรับความคาดหวังในการจัดทำโครงการดังกล่าวนั้น ต้องการแก้ปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และใช้เป็นแนวทางในการเสริมสร้างความเข้าใจระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน" แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว

 แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวด้วยว่า สำหรับกลยุทธ์ที่จะนำแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงไปแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ได้ให้เจ้าหน้าที่ทหารที่ต้องลงปฏิบัติงานในพื้นที่มาเรียนรู้แนวทางดังกล่าวก่อน จากนั้นให้นำไปพูดคุยกับประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้หน่วยเฉพาะกิจหมายเลข 2 ตัว ทั้ง 23 หน่วย ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ คัดเลือกหมู่บ้านที่ต้องการเข้าร่วมโครงการหน่วยเฉพาะกิจละ 2 หมู่บ้าน พร้อมนำชาวบ้านที่สนใจเข้ารับการฝึกอบรม โดยในปี 2552 ตั้งเป้าไว้ 46 หมู่บ้าน ซึ่งหากสามารถดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวได้ ก็จะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น

"อังคณา" จี้รัฐคลายปมสังหารโต๊ะอิหม่าม

 นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน (ครส.) และประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ กล่าวว่า จากเหตุการณ์นายอับดุลการิม ยูโซ๊ะ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 167/1 ต.ตะลุบัน โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดกาหยี ถูกคนร้ายใช้ปืนยิงเสียชีวิตที่หน้ามัสยิด เมื่อวันที่ 30 มกราคม ที่ผ่านมานั้น ทำให้ชาวบ้านเกิดความเคลือบแคลงใจเป็นอย่างมาก เพราะผู้ตายเคยถูกจับในคดีความมั่นคง และถูกคุมขังระหว่างฟ้องคดีต่อศาล กระทั่งล่าสุดศาลยกฟ้อง โดยนายอับดุลการิมเพิ่งออกจากเรือนจำมาได้เพียง 3 เดือน และถูกสังหารหน้ามัสยิดอย่างอุกอาจในครั้งนี้

 นางอังคณา กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่สร้างปมความรู้สึกให้ชาวบ้านในพื้นที่ หากย้อนไปในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าการเสียชีวิตของโต๊ะอิหม่ามหลายรายในพื้นที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน รวมถึงยังกลายเป็นภาพลบในสายตาประชาชนต่อตัวเจ้าหน้าที่บางหน่วยงานที่ไม่สามารถคลี่คลายความจริงให้ปรากฏได้

 "กรณีการเสียชีวิตอย่างมีเงื่อนงำของผู้นำศาสนา รวมถึงกรณีคนหายเป็นปัญหาพื้นฐานที่ทำให้ประชาชนไม่มีความเชื่อมั่นต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ข่าวลือประเภทนี้กระจายอยู่เต็มพื้นที่ ชาวบ้านมักพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟัง ที่สำคัญคือคนในพื้นที่จำนวนไม่น้อยมีแนวโน้มที่จะปักใจเชื่อด้วยว่าทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ หากไม่เร่งคลี่คลายปมความรู้สึกตรงนี้ ความเชื่อมั่นในรัฐจะถูกบั่นทอนมากขึ้นเรื่อยๆ" ประธานคณะทำงานยุติธรรมเพื่อสันติภาพ กล่าว

 นางอังคณา กล่าวด้วยว่า ทั้งรัฐบาล เจ้าหน้าที่หน่วยงานในพื้นที่ หน่วยงานความมั่นคง รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ ไม่ควรนิ่งนอนใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะการปล่อยให้ความสงสัยก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลยนานวันจะยิ่งทำให้ชาวบ้านปักใจเชื่อในทางที่ไม่ถูกต้องได้ง่ายๆ รัฐบาลต้องกล้าเปิดเผยข้อเท็จจริงปัญหาการเสียชีวิตของชาวบ้านในพื้นที่ที่ยังมีเงื่อนงำอีกมากมายหลายคดี รวมถึงกรณีคนหายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังตามตัวไม่พบอีกหลายราย เพราะการหยิบยกเพียงแค่คดีสำคัญไม่กี่คดี รวมถึงกรณีการหายไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร คงไม่เพียงพอที่จะเรียกศรัทธาความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบได้ทั้งหมดแน่นอน

ผบ.พตท.ยันยึดกระบวนการยุติธรรม

 พล.ต.กสิกร คีรีศรี ผู้บัญชาการผสมพลเรือนตำรวจทหาร (ผบ.พตท.) กล่าวถึงคดีที่นายอับดุลการิม ยูโซ๊ะ อายุ 46 ปี โต๊ะอิหม่ามประจำมัสยิดกาหยีว่า คดีนี้ต้องดำเนินการสอบสวนตามกฎหมาย เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าประเด็นการสังหารมาจากเรื่องอะไรกันแน่ ส่วนข้อกังขาที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าอาจมาจากเรื่องที่เพิ่งพ้นจากข้อกล่าวหาคดีความมั่นคงมานั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากที่ผ่านมากองทัพภาคที่ 4 ได้เน้นย้ำเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรมเป็นหลักสำคัญ หากมีการจับกุมและคดีเข้าสู่ชั้นศาลก็จะให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสินความผิดนั้นๆ หากผู้ต้องหาหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาก็ถือว่าคดีจบสิ้น

 นอกจากนี้ พล.ท.พิเชษฐ์ วิสัยจร แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เน้นย้ำให้เป็นนโยบายหลักที่เจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด ดังนั้นจึงไม่เชื่อว่ากรณีการเสียชีวิตของนายอับดุลการิมจะเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ ส่วนประเด็นการสังหารที่แท้จจริงก็ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป และพร้อมให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย

 "ประเด็นการเสียชีวิตของนายอับดุลการิม หากยังเป็นข้อกังขาของประชาชน เจ้าหน้าที่พร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความบริสุทธิ์ใจแก่ทุกฝ่าย ขณะเดียวกันในส่วนของเจ้าหน้าที่ก็ต้องติดตามคดีนี้อย่างละเอียดเพื่อหาข้อพิสูจน์เกี่ยวกับคดีความมั่นคงจังหวัดชายแดนใต้ ควบคู่กันไปด้วย" พล.ต.กสิกร กล่าว

เผาตู้ฮัลโหล-โรยตะปูเรือใบ

 เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 30 มกราคม เกิดเหตุคนร้ายใช้น้ำมันราดตู้โทรศัพท์สาธารณะแล้วจุดไฟเผา 2 ตู้ โดยจุดแรกเหตุเกิดขึ้นที่บริเวณริมถนนปัตตานี-นราธิวาส พื้นที่หมู่ 3 บ้านกรือเซะ ต.ตันหยงลูโละ อ.เมือง จ.ปัตตานี จุดที่สองอยู่ใกล้โรงเรียนบ้านกาฮง พื้นที่หมู่ 5 บ้านกาฮง ต.บาราเฮาะ อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยทั้งสองจุด ก่อนที่คนร้ายจะหลบหนีได้จุดไฟเผายางรถยนต์และโรยตะปูเรือใบไว้บนถนนอีกด้วย

 หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปัตตานี เข้าตรวจสอบทันที เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นการก่อเหตุของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่

ประกบยิง "โต๊ะบิหลั่น" บ้านสาวอ

 ร.ต.ท.แดนชัย มูลป้อม ร้อยเวร สภ.รือเสาะ จ.ปัตตานี รับแจ้งเมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 31 มกราคมว่า นายอาแว สะแลแม อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 38 หมู่ 4 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ซึ่งเป็นโต๊ะบิหลั่นประจำมัสยิดบ้านสาวอ อ.รือเสาะ ถูกยิงเสียชีวิต เหตุเกิดที่บริเวณปากทางเข้าบ้านสาวอ หมู่ 2 ต.สาวอ อ.รือเสาะ จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผกก.สภ.รือเสาะ พ.ท.ธวัชชัย ตั้งพิทักษ์กุล ผบ.ฉก.นราธิวาส 30 และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารจำนวนหนึ่งรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

 ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบกล่องต้องสงสัยคาดว่าเป็นระเบิดอยู่บนพื้นถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 50 เมตร เจ้าหน้าที่จึงยิงทำลาย จึงทราบว่ากล่องดังกล่าวเป็นระเบิดปลอม

 เบื้องต้นทราบว่าผู้ตายกำลังขี่รถจักรยานยนต์กลับบ้านพัก หลังจากไปขายผลไม้ที่ตลาดนัดหน้าสถานีรถไฟ ขณะนั้นมีคนร้าย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามมาจนทัน แล้วชักปืนยิงเข้าใส่ ก่อนหลบหนีได้วางกล่องระเบิดปลอมไว้ เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เนื่องจากถนนสายดังกล่าวในช่วงที่ผ่านมา คนร้ายลอบก่อเหตุดักสังหารเจ้าหน้าที่และชาวบ้านผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำวนหลายราย


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์