กมธ.งบฯตกใจ เงินคงคลังมีแค่ 5.2 หมื่นล้าน เหลือจ่ายเงินเดือนประจำแค่เดือนครึ่ง ปลัดคลังแจงเหตุลดกู้เงิน แต่ถ้าไม่พอกู้ใหม่ได้ เผยจัดเก็บรายได้ไตรมาสแรกของปีงบฯ′52 ต่ำเป้าถึง 16% จี้เร่งอัดฉีดเงินเข้าระบบภายใน มี.ค. ก่อนเศรษฐกิจจะติดลบ 3% ฝ่ายค้านให้ตัดทิ้งงบชุดนร.ทั้งยวง 2.6 พันล้าน ส.ส.ร. ยัน 3 รมต.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญที่ไปโหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบฯ
คลังเผยเก็บรายได้ต่ำเป้า16%
ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 30 มกราคม คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2552 ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน มีการประชุมเป็นนัดแรก โดยพิจารณาฐานะการเงินการคลังของประเทศ มีนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นผู้ชี้แจงว่า มีความจำเป็นที่ต้องอัดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจให้ทันในเดือนมีนาคมนี้เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในระบบ ไม่เช่นนั้นเศรษฐกิจไทยอาจติดลบถึง 3% ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2552 การจัดเก็บรายได้ของรัฐต่ำกว่าเป้าประมาณ 16% โดยกระทรวงการคลังคาดการณ์รายได้ตลอดปี 2552 อยู่ที่ 132,000 ล้านบาท มีการเบิกจ่ายงบฯลงทุนไปได้เพียง 7.9% และมีการตั้งรายจ่ายเพื่อชดเชยเงินคงคลังสำหรับงบประมาณกลางปีไว้จำนวน 12,900 ล้านบาท มาจากรายได้ที่จะได้จากการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันและรายได้จากผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจ
จากนั้นคณะกรรมาธิการทั้งจากรัฐบาลและฝ่ายค้านต่างซักถามถึงสาเหตุการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า อาทิ งบประมาณองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และกรมทางหลวงชนบทที่ผู้รับเหมายังไม่ได้รับเงิน ทำให้นายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ กมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้กระทรวงการคลังนำความจริงมาพูดให้ทุกคนรู้ เพราะจะได้ช่วยกันแก้ไขและเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่หนักหนา เชื่อว่าเหตุที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายงบฯลงทุนต่างๆ เป็นเพราะความจริงรัฐไม่มีเงิน มีแต่เพียงตัวเลขลอยๆ เท่านั้น จึงอยากทราบว่าความจริงขณะนี้ประเทศไทยมีเงินคงคลังจำนวนเท่าใด
กมธ.งบฯตกใจคงคลังมีแค่5.2หมื่นล.
ด้านนายศุภรัตน์ชี้แจงว่า ยอมรับว่ามีเม็ดเงินไหลออกมากกว่าเม็ดเงินไหลเข้า การบริหารเงินคงคลังต้องทำด้วยความละมุนละม่อม ทั้งนี้ สิ้นเดือนธันวาคมปี 2551 ที่ผ่านมา มีเงินคงคลังประมาณ 52,000 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายศุภรัตน์กล่าวจบ นายพิเชษฐถึงกับกล่าวอย่างตกใจว่า เหตุใดเงินคงคลังจึงมีมากกว่ารายจ่ายประจำไม่ถึง 2 เดือน ตัวเลขนี้เป็นปัญหาว่าทำไมประเทศจึงไม่มีเงินในการจ่ายงบฯลงทุน ทำให้นายศุภรัตน์กล่าวตอบว่า ยังมีเงินพอที่จะจ่ายเป็นเงินเดือนประจำอยู่ประมาณ 1 เดือนครึ่ง เนื่องจากต้องจ่ายเงินเดือนประจำเดือนละ 32,000 ล้านบาท เหตุที่เงินคงคลังเหลืออยู่ไม่มากเนื่องจากที่ผ่านมาได้ลดการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเพื่อเป็นลดภาระดอกเบี้ย หากไม่เพียงพอก็ยังสามารถกู้เงินจากต่างประเทศได้อีก
ด้านนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา กมธ.จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ดูแล้วไม่สามารถเชื่อได้ว่าจะมีรายได้กลับมาตามที่คาด จึงอยากทราบว่าจะกู้เงินเมื่อใด จากไหนและจำนวนเท่าไหร่
จากนั้นนายศุภรัตน์ชี้แจงว่า กรอบการกู้ยืมเงินมีกฎเกณฑ์ไว้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่อาจต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เร็วกว่าเดิม ขณะนี้การขาดดุลงบประมาณทั้งประจำปีและกลางปีมีจำนวน 340,000 ล้านบาท ส่วนแหล่งเงินกู้นั้นจะส่งเป็นเอกสารให้ กมธ.ในภายหลัง
ฝ่ายค้านไล่บี้งบฯเรียนฟรี15ปี
สำหรับการประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯในช่วงบ่าย มีการพิจารณาโครงการสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 15 ปี ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจะเริ่มต้นในภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2552 วงเงิน 18,257 ล้านบาท ซึ่งนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม กมธ.จากพรรคเพื่อไทย ระบุว่าไม่เห็นว่างบฯดังกล่าวจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้และเกรงว่าจะไปกระจุกตัวกับนักธุรกิจ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้ผลิตเครื่องแบบนักเรียน กลุ่มผู้ผลิตแบบเรียนและกลุ่มผู้ผลิตอุปกรณ์การเรียน ควรแจกคูปองให้ผู้ปกครองนำไปซื้ออุปกรณ์และเครื่องแบบนักเรียนเองจะดีกว่า น่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่า
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ จากพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการไม่ใช่หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ รัฐบาลควรมุ่งเน้นงบประมาณไปที่การปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้กับนักเรียน จึงอยากให้ทบทวนปรับปรุงโครงการและเสนอเข้ามายังกรรมาธิการอีกครั้ง เพราะไม่อยากให้งบฯก้อนนี้เป็นงบฯละลายน้ำ
นายชินภัทร ภูมิรัตน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงว่า จะจัดทำประชาพิจารณ์โครงการต่างๆ ที่โรงเรียนสตรีวิทยา ในวันที่ 31 มกราคม เพื่อประมวลผลร่วมกับข้อชี้แนะของ กมธ.ว่าจะทำอย่างไร ขอยืนยันว่าการปฏิรูปการศึกษายังคงมีต่อเนื่อง ส่วนงบประมาณกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผู้เรียนนั้นทราบว่าโรงเรียนสาธิตทั้ง 44 แห่ง ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีมติร่วมกันว่าจะไม่รับงบประมาณส่วนนี้ แต่ผู้ปกครองจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง
เล็งแจกเงิน-คูปองซื้อชุดนักเรียน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กมธ.จากพรรคฝ่ายค้านได้ซักถามนายชินภัทรอย่างหนัก โดยเฉพาะวิธีการจัดซื้อเครื่องแบบนักเรียนที่ยังไม่มีรายละเอียดว่าจะจัดซื้ออย่างไร ซึ่งคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ชี้แจงว่า เครื่องแบบนักเรียนจะไม่มีการจัดซื้อที่กระทรวงศึกษาธิการหรือส่วนกลาง ตลอดจนเขตพื้นที่ แต่จะให้ซื้อกันที่โรงเรียน เบื้องต้นกำลังพิจารณาว่าจะให้เงินผู้ปกครองหรือแจกเป็นคูปอง ส่วนการกำหนดสเปคของมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) นั้นความจริงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามก็ได้ อาจจะใช้หลักให้ผู้ปกครองเห็นสมควร
พท. ขอตัดงบฯ2.6พันล.ซื้อชุดน.ร.
นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ส่วนตัวติดใจในงบประมาณจัดซื้อเครื่องแบบนักเรียนกว่า 2,600 ล้านบาท เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายเรียนฟรี ดังนั้น จึงขอตัดงบฯส่วนนี้ทั้งหมด ทำให้ กมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ส.ส.สัดส่วน และนายพิเชษฐ พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.กระบี่ ได้คัดค้านแกมขอร้องว่า อย่าเสนอให้ตัดงบฯก้อนนี้ โดยนายพิเชษฐกล่าวว่า ขอให้ค้างตัวเลขไว้ก่อนแล้วค่อยมาพิจารณารายละเอียด หากตัดไปเรื่องก็จะต้องกลับเข้า ครม.อีกครั้ง เวลาไม่พอ ขณะที่นายวิทยายังยืนกรานที่จะตัดงบประมาณก้อนนี้ และกล่าวว่า ถ้าหากไม่มีหากท้วงติงหรือตัดงบฯเลยก็ควรนำกลับเข้าสู่สภาไม่ต้องมานั่งพิจารณาให้เสียเวลา 0พท.เตรียมยื่นถอด3รมต.โหวตงบฯ
กรณีที่พรรคเพื่อไทยจะยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไต่สวนเอาผิดกับ 3 รัฐมนตรี ได้แก่ นายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมที่ลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2552 ซึ่งถือว่ามีพฤติกรรมที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 177 วรรค 2 นั้น
นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร และคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คาดว่าจะยื่นต่อ ป.ป.ช.ได้ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ เพื่อให้ ป.ป.ช.ไต่สวน 3 รัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 275 กรณีที่รัฐมนตรีกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยจะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เพื่อยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาให้ถอดถอน 3 รัฐมนตรีออกจากตำแหน่งควบคู่ไปด้วย
พ่วงยื่นถอด "ปู่ชัย" ขาดคุณสมบัติ
นายจุมพฏกล่าวว่า นอกจากนี้ในวันเดียวกันนั้นตนจะยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. ให้ไต่สวนเอาผิดนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย กรณีที่เรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้รัฐบาลแถลงนโยบายเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ทั้งที่สถานะของนายชัยขณะนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกภาพของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ถือว่าขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 266 (8)
นายจุมพฏกล่าวว่า ระหว่างที่นายชัยปฏิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น ถือว่าสถานะความเป็น ส.ส.ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากนายชัย และสมาชิกกลุ่มเพื่อนเนวิน ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย นายชัยเพิ่งสมัครเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ 14 มกราคม ในลำดับที่ 23 ดังนั้น กระบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงเข้าข่ายมิชอบทั้งหมด เช่น การเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการฯ แต่งตั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้คณะรัฐมนตรีที่เกิดจากการแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีมีที่มาไม่สมบูรณ์เช่นกัน รวมถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลก็เท่ากับเป็นโมฆะไปด้วย
ปธ.วิปรบ.มั่นใจ3รมต.ไม่ขัดรธน.
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล กล่าวว่า ไปสืบค้นข้อมูลการลงมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2552 ในวาระแรกที่มีการลงมติไปเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2551 ซึ่งรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ก็มีการลงมติเห็นชอบในร่างดังกล่าว อาทิ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นอกจากนี้ ยังมีรัฐมนตรีพรรคร่วมรัฐบาลที่มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณด้วยทุกคน ฉะนั้น การที่ฝ่ายค้านหยิบยกประเด็นรัฐมนตรีลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณกลางปี 2552 ว่าอาจจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 177 วรรค 2 นั้น ตนเห็นว่าเป็นการเล่นเกมเพื่อปั่นป่วนทางการเมือง หากดูตามข้อกฎหมายแล้ว ไม่สามารถยื่นถอดถอนรัฐมนตรีได้ เพราะการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบฯ หรือกฎหมายโดยทั่วไป ไม่สามารถตีความอย่างกว้างได้ว่าเป็นการลงมติที่มีผลประโยชน์ขัดกัน
"จึงอยากเรียกร้อง ส.ส.พรรคฝ่ายค้านให้ทำการเมืองกันอย่างสร้างสรรค์ แต่หากฝ่ายค้านจะดำเนินการก็ทำได้ แต่จะทำให้รัฐมนตรีชุดที่แล้วหลายคนเป็น ส.ส.อยู่ ก็อาจจะมีปัญหาต่อไปได้" นายชินวรณ์กล่าว0 เกื้อกูลยันไม่มีประโยชน์ขัดกัน
ด้านนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่โหวตรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ว่า ก่อนโหวตตนได้ซักถามนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ได้รับคำตอบว่า ในรัฐบาลนายสมัคร ก็โหวตรับร่างงบประมาณเช่นกัน หลังเกิดเรื่องขึ้นก็พูดคุยกับนายชินวรณ์แล้วพบว่าไม่น่าจะผิดเจตนารมณ์ของกฎหมาย อีกทั้งร่างงบประมาณตนก็ไม่มีส่วนในการเสนอจึงไม่มีผลประโยชน์ขัดกัน
"ผมไม่ได้ทำผิดกฎหมาย เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 177(2) นั้นเขียนไว้ชัดเจนว่าการห้ามรัฐมนตรีออกเสียงนั้นต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้น แต่ผมไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หลังฝ่ายค้านหยิบเรื่องนี้มาเล่นงานผม ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน แต่ทำความเข้าใจกับฝ่ายกฎหมายและผู้ใหญ่ในรัฐบาลแล้วก็ไม่มีอะไรหนักหนาจึงไม่คิดว่าจะหมดสภาพการเป็นรัฐมนตรี" นายเกื้อกูลกล่าว
ส.ส.ร.ยันไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายปกรณ์ ปรียากร คณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) อดีตโฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 (ส.ส.ร.) กล่าวว่า ระหว่างการยกร่างมาตรา 177 วรรคสอง มีการพูดกันชัดเจนว่าให้หมายความว่า เฉพาะตอนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนร่าง พ.ร.บ.งบฯ ไม่เกี่ยวกัน เพราะ พ.ร.บ.นี้ใช้สำหรับการบริหารราชการแผ่นดิน ส่วนที่อ้างถึงคำว่า การมีส่วนได้เสีย เจตนารมณ์คือการปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี ที่เกี่ยวกับประมูลงาน ฉะนั้น 3 รัฐมนตรีที่โหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม ตนคิดว่า ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ
นายศรีราชา เจริญพานิช เลขาธิการผู้ตรวจการแผ่นดิน อดีต ส.ส.ร.กล่าวว่า เจตนารมณ์มาตรา 177 นั้น กมธ.ยกร่างฯไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากนัก จึงไม่สามารถระบุได้ว่า 3 รัฐมนตรีมีความผิดหรือไม่ คงจะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ตีความให้ชัดเจนจะดีกว่า โดยส่วนตัวเห็นว่ารัฐมนตรีทั้ง 3 คนไม่น่าจะมีความผิด
ด้านนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตเลขานุการ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า เจตนารมณ์ของมาตรา 177 มุ่งตีความโดยแคบ ป้องกันไม่ให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.โหวตสนับสนุนในเรื่องที่ตัวเองมีส่วนได้เสีย โดยเฉพาะในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวเองหรือการเสนอกฎหมายที่ตัวเองมีส่วนได้เสียโดยตรง เช่น รัฐมนตรีคนหนึ่งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลแล้วเสนอกฎหมายจ่ายเงินให้โรงพยาบาล รัฐมนตรีคนนั้นไม่สามารถลงมติได้ ฉะนั้น การตีความของพรรคฝ่ายค้านจึงกว้างขวางเกินไปไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
"ปริญญา" ชี้อาจเข้าข่ายผิดม.177
ด้านนายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า มาตรา 177 วรรคสอง เขียนค่อนข้างกว้างความตั้งใจของมาตรานี้คือเรื่องไหนเกี่ยวข้องกับรัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ไปพร้อมกันด้วย แล้วรัฐมนตรีคนนั้นมีส่วนได้เสีย ก็จะถูกห้ามไม่ให้ร่วมยกมือสนับสนุนในฐานะ ส.ส. ในมาตรานี้มี 3 ประเด็นคือ การดำรงตำแหน่ง ซึ่งชัดว่าเกี่ยวกับเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนประเด็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ กับการมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้น ยังเป็นปัญหา
นายปริญญากล่าวว่า กรณีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ต้องไปดูว่ามีงบฯที่กระทรวงของ 3 รัฐมนตรีดำรงตำแหน่งอยู่ได้รับจัดสรรหรือไม่ ถ้าไม่มี ก็ไม่เข้า แต่ถ้ามี ตนเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ และการถอดถอนจากการกระทำผิดดังกล่าวนี้ ก็คงต้องพิจารณาเรื่องความจงใจที่จะกระทำผิดด้วย เพราะมาตราดังกล่าวระบุชัดว่า ต้องจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วย
ัั
"อลงกต"ยันมติพผ.เสนอชื่อกมธ.งบฯ
วันเดียวกัน นพ.อลงกต มณีกาศ รองประธานวิปรัฐบาล กลุ่มวังพญานาค พรรคเพื่อแผ่นดิน (พผ.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมเกียรติ ศรลัมพ์ ส.ส.สัดส่วน พรรค พผ. ซึ่งอยู่ในกลุ่ม 12 ให้ตรวจสอบจริยธรรม นพ.อลงกต ที่ไม่ยอมเสนอชื่อ น.ส.จิตวรรณ หวังศุภกิจโกศ ส.ส.นครราชสีมา พรรค พผ.กลุ่ม 12 เป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมว่า พรรคเรียกประชุมเมื่อวันที่ 26-27 มกราคม และมีมติให้เสนอชื่อนายกิตติศักดิ์ รุ่งธนเกียรติ และนายสาธิต เทพวงศ์ศิริรัตน์ ส.ส.สุรินทร์ เป็น กมธ.งบฯ ในโควต้าของพรรคโดยไม่มีใครพูดถึงชื่อ น.ส.จิตวรรณเลย ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ ในวันนั้น ส.ส.กลุ่ม 12 หลายคนก็เข้าประชุมและรับทราบมติพรรค อาทิ นายสุรเดช ยะสวัสดิ์ และนายปุระพัฒน์ วิเศษจินดาวัฒนา ส.ส.สัดส่วน ฯลฯ แม้กระทั่งนายสมเกียรติก็เข้าร่วมประชุมด้วยแต่ไม่อยู่จนจบ
"ถ้านายสมเกียรติไม่พอใจ ทำไมจึงไม่ท้วงติงกันกลางสภา แต่กลับแอบไปติดต่อขอเปลี่ยนชื่อ กมธ.ในโควต้า พผ. กับข้าราชการที่เป็นเลขานุการวิปรัฐบาล ผมขอฝากถึงนายสมเกียรติว่าคนจะเป็น กมธ. ต้องไม่โดดประชุมสภา นี่เพียงวาระแรกก็ไม่เข้าร่วม ไม่โหวตรับหลักการ แต่กลับเสนอตัวเป็น กมธ. มันจะชอบธรรมได้อย่างไร" รองประธานวิปรัฐบาล พผ.กล่าว
เงินคงคลังเหลือแค่5หมื่นล้าน ส.ส.ปชป.ตกใจ หวั่นไม่พอจ่ายเงินเดือน เพื่อไทยตัดทิ้งชุดนร.2.6พันล.
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง เงินคงคลังเหลือแค่5หมื่นล้าน ส.ส.ปชป.ตกใจ หวั่นไม่พอจ่ายเงินเดือน เพื่อไทยตัดทิ้งชุดนร.2.6พันล.