มิ่งขวัญลุยจัดโซนนิ่งนิคมอุตฯใหม่ทั่วประเทศ

นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เผยวันที่ 11 สิงหาคม หลังจากการประชุมร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)ว่า ได้กำหนดนโยบายเพิ่มเติม

ในเรื่องการจัดโซนนิ่งพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมใหม่ทั่วประเทศ โดยจะไม่มีการปรับเปลี่ยนในโซนเดิม ซึ่งจะทำการร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการกำหนดพื้นที่โซนนิ่งสำหรับการเพาะปลูก สำหรับที่อยู่อาศัย และสำหรับอุตสาหกรรม ดูแลนิคมอุตสาหกรรมที่เกิดใหม่ โดยมุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ให้มูลค่าเพิ่มกับประเทศมากขึ้น คือ ประชาชนและประเทศต้องมีความรู้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงต้องใส่ใจในสิ่งแวดล้อมด้วย อุตสาหกรรมไหนไม่ให้มูลค่าเพิ่ม จะมีการนำมาพิจารณาดูอีกครั้ง เพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมที่มีการวิจัยและพัฒนา อุตสาหกรรมแพทย์ อุตสาหกรรมยา รวมถึงการสร้างมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ มุ่งเน้นอุตสาหกรรมตามพื้นที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อทำให้เศรษฐกิจตามแนวชายแดนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษใหม่ขึ้น และพยายามรวมกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก
 

“วิสัยทัศน์ และยุทธศาสตร์พื้นฐานของบีโอไอดีอยู่แล้ว แต่ต้องมีการระบุรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้น รวมถึงการออกไปหาผู้ลงทุนรายใหม่หรือที่กำลังตัดสินใจลงทุนด้วย เช่นในกลุ่มประเทศเศรษฐีใหม่ โดยในเร็วๆ นี้จะมีการหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาหอการค้าไทย ซึ่งอาจจะมีการเดินทางร่วมกันเพื่อไปเจาะกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น โดยต้องพิจารณาจากสถานะ ความมั่งคั่ง และความพร้อมในการลงทุน แต่หัวใจสำคัญ คือ เรื่องสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ที่คนไทยและประเทศจะได้รับ และต้องมีการถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีให้กับประเทศด้วย”นายมิ่งขวัญกล่าว


เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงปัญหาทางการเมืองว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่ นายมิ่งขวัญกล่าวว่า ในประเทศเกาหลี และญี่ปุ่นก็มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด

สิ่งสำคัญคือ เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว นโยบายด้านการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมถูกเปลี่ยนแปลงหรือไม่เท่านั้นเอง ขณะที่นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กล่าวเพิ่มเติมว่า บีโอไอจะมุ่งเน้นในกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยใหม่มากขึ้นตามนโยบายของรมต.อุตสาหกรรม เช่น ประเทศจีน ซึ่งมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนไปในต่างประเทศมากขึ้น และกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยจากการขายน้ำมัน ซึ่งน่าจะมีการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากจะสามารถขยายตลาดไปสู่ประเทศในกลุ่มอาเซียนได้อีกด้วย


นายสาธิต กล่าวถึงตัวเลขการลงทุนของบีโอไอว่า 7 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้อยู่ที่ 242,000 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วที่ 257,000 ล้านบาท

แต่มีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นจาก 724 โครงการในปีก่อนเป็น 749 โครงการในปีนี้ โดยกลุ่มอิเล็กทรอนิคส์เป็นกลุ่มที่เติบโตมากกว่าปีก่อนมาก ขณะที่กลุ่มปิโตรเคมี ลดลงเนื่องมาจากเรื่องพื้นที่ไม่มี และกลุ่มรถยนต์ที่มีจำนวนโครงการมาก แต่มูลค่าโดยรวมลดลง เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นพวกกลุ่มผลิตชิ้นส่วนยานยนต์


นายสาธิตยังกล่าวถึงเรื่องน้ำมัน E85 ว่า รัฐบาลต้องมีการกำหนดทิศทางระยะยาวในเรื่องนโยบายพลังงานให้ชัดเจนมากกว่านี้

และควรมีการพูดถึงในเรื่องของภาคอุตสาหกรรมด้วย ต้องมีการพิจารณาถึงศักยภาพของรถรุ่นที่มารองรับว่าเป็นอย่างไรด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีเพียงการพูดถึงในด้านของพลังงานเท่านั้น ไม่เหมือนกับเรื่องอีโค คาร์ที่มีการพูดถึงด้านของอุตสาหกรรมที่จะมีการขยายไปในตลาดต่างประเทศ


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์