ปากไม่หวาน ไม่ให้ความหวังใคร
เมื่อถามว่า การเจรจาในวันจันทร์นี้คือ เรื่องกำลังทหารและพื้นที่ทับซ้อนใช่หรือไม่ พล.อ.บุญสร้าง กล่าวว่า จะพูดเฉพาะเรื่องการทหารเป็นหลัก เรื่องอื่นๆ ค่อยว่ากัน และยังไม่อยากพูดเรื่องถอนกำลัง เพราะเป็นเรื่องเซ็นซิทีฟ และขออย่าไปคิดมาก ทำไปตามหน้าที่ ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจปัญหาซึ่งกันและกัน เพื่อหาทางออก โดยจะไปคุยเรื่องทหารอย่างเดียว ส่วนเรื่องของเขตแดนเป็นของกระทรวงการต่างประเทศ และการที่เสริมกำลังทหารเข้าไปก็ไม่มีผลต่อการเจรจา เพราะเราพูดกันรู้เรื่องอยู่แล้ว เราใช้ปัญญาไม่ได้ใช้กำลัง ซึ่งกำลังของไทยและของกัมพูชาที่อยู่ในพื้นที่นั้น ไม่มีปัญหาในเรื่องความรุนแรง ผู้บังคับบัญชาของแต่ละฝ่ายจะต้องช่วยกันลดอุณหภูมิ เพราะจะเกิดอารมณ์ง่าย จะต้องบังคับกันให้ดี ต่างคนต่างช่วยดูแลคนของอีกฝ่าย ท่านก็ไม่อยากให้มีเรื่อง เราก็ไม่อยากให้มีเรื่อง คงคุย กันได้ พร้อมกับย้ำด้วยว่า ตนไม่ใช่คนปากหวาน ไม่ชอบให้ความหวังกับใคร แต่ก็จะทำให้ดีที่สุด
ชาติต้องการความสามัคคีมากที่สุด
เมื่อถามว่า การเจรจาครั้งนี้ เสนอตัวไปเองหรือมีใครสั่งให้ทำ พล.อ.บุญสร้างกล่าวว่า ตนเป็นคนไม่เสนอตัวอยู่แล้ว เป็นทหารเขาสอนมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าอย่าไปเที่ยวอาสาทำโน่นทำนี่ ขณะเดียวกัน ก็ให้เกียรติหน่วยงานอื่น รวมถึงให้ความเชื่อมั่นเขาด้วย พร้อมทั้งระบุบ้านเมืองเราตอนนี้ ต้องการความรู้รักสามัคคีมาก ที่สุด อย่าให้เป็นช่วงที่เรามีความสามัคคีน้อยที่สุดในเมื่อเราต้องการความสามัคคีมากที่สุด เพื่อดูแลบ้านเมือง
เน้นหารือเรื่องทางการทหาร
ด้าน พล.ท.นิพัทธ์ ทองเล็ก เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียม การไปร่วมประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชาว่า ตอนนี้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องได้หารือร่วมกันในการเตรียมความพร้อมด้านข้อมูลในเรื่องต่างๆ โดยตนได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปเตรียมการประชุมให้พร้อมแล้วที่โรงแรมอินโดจีน ซึ่งข้อมูลจะเน้นในส่วนของกองทัพบก ทั้งนี้เรื่องที่จะนำไปหารือกันจะเป็นเรื่องทางการทหารจะคุยถึงปัญหาสถานการณ์ความตึงเครียดในพื้นที่ แต่จะไม่นำเรื่องการปักปันเขตแดนไปเจรจา เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของคณะกรรมการปักปันเขตแดน ซึ่งเป็นเรื่องระดับนโยบายและกระทรวงการต่างประเทศจะเข้าไปพูดคุย “ตอนนี้เราต้องเน้นแก้ไขปัญหาความตึงเครียดในพื้นที่ก่อน ส่วนเขตแดนต้องให้ระดับนโยบายไปเจรจา ดังนั้นการเจรจาครั้งนี้จึงเป็นเรื่องของทหารเท่านั้น ซึ่งทหารเราพูดคุยกันจะเข้าใจกันง่าย เพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของ 2 ประเทศ เรียกได้ว่ามีความเเน่นเเฟ้นกันดีมาก ส่วนเรื่องการถอนกำลังออกจากพื้นที่หรือไม่คงต้องไปพูดคุยกันในวันนั้นว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะเอาอย่างไร ซึ่งคิดว่าน่าจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ” พล.ท.นิพัทธ์กล่าว
กองทัพไทยย้ำภารกิจกู้ทุ่นระเบิด
นอกจากนี้ในวันเดียวกัน กองทัพไทยมีหนังสือชี้แจงฉบับที่ 2 เกี่ยวกับการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม ในพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร มีใจความว่า ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (Thai Mine Action Center:TMAC) ร่วมกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิลุ่มแม่น้ำโขงเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน (Mekong Organization for Mankind :MOM) ได้เข้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแผนปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมประจำปี 2551 ซึ่งเป็นพันธะที่ประเทศไทยต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาว่าด้วยการห้ามใช้ สะสม ผลิต และโอน และการทำลายทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) โดยได้เริ่มปฏิบัติงานในพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ซึ่งอยู่ในเขตอธิปไตยของประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2551 หนังสือดังกล่าว ยังระบุอีกว่า กองทัพไทยขอยืนยันว่าการปฏิบัติการดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับราษฎรในพื้นที่ ซึ่งเป็นการปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาออตตาวา และเป็นการดำเนินการในพื้นที่เขตอธิปไตยของประเทศไทย
สำหรับผลการปฏิบัติ งานในห้วงแรกของหน่วยปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสามารถดำเนินการไปได้ด้วยดี ทำให้เกิดพื้นที่ปลอดภัยบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารประมาณ 910 ตารางเมตร กองทัพไทยจะแจ้งความคืบหน้าในการปฏิบัติงานให้ทราบตามโอกาสที่เหมาะสมต่อไป และขอความร่วมมือจาก ประชาชนในพื้นที่หากพบวัตถุต้องสงสัยว่าเป็นวัตถุระเบิดกรุณาแจ้งได้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรวมทั้งแจ้งที่กองกำลังสุรนารี หมายเลขโทรศัพท์ 0-4551-3639 เพื่อช่วยให้การดำเนินการเก็บกู้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือในการเก็บกู้ ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมในครั้งนี้ และเพื่อให้พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัยจากวัตถุระเบิดตามแผนที่ได้วางไว้