กระแสข่าวการแต่งตั้ง 'ยงยุทธ ติยะไพรัช' รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน (พปช.) เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ในรัฐบาลของ 'สมัคร สุนทรเวช' ดังสะพัดภายหลังการออกเสียงเลือกตั้งไปได้เพียงไม่กี่วัน
แต่นาทีนั้นใครเลยจะเชื่อว่า "ยงยุทธ" หนึ่งในขุนพล "ฝ่ายบู๊" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะพลิกบทบาทครั้งใหญ่ โดยการก้าวกระโดดเข้ารับตำแหน่งประธานสภา ที่ถือเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายนิติบัญญัติ หนึ่งในสามประมุขของระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา
ในทางหลักการ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาจะต้องมีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ประธานสภาเป็นคนของรัฐบาล
ซึ่งหลายสมัยที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า ประธานสภาจะช่วยอำนวยความสะดวกและทำตามใบสั่งของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ "ยงยุทธ" จะมีภาพลักษณ์ที่ขัดแย้งกับภาพของท่าน "ประธานสภาที่เคารพ" แต่ต้องยอมรับว่ายุทธวิธีเดินหมากเกมนี้ของ "นายใหญ่" ไม่ธรรมดายิ่ง เพราะนอกเหนือจากเหตุผลขั้น "เบสิค" ที่บรรดา "บิ๊ก พปช." ออกมาตอบรับถึงคุณสมบัติที่เหมาะสมของว่าที่ประธานสภา ในเรื่องประสบการณ์ทางการเมืองหลายสมัยและความเท่าทันเกมการเมืองของพรรคฝ่ายค้านและ 5 พรรคพันธมิตรแล้ว
แบรนด์ชื่อ "ยงยุทธ" ยังการันตีถึงความจงรักภักดีที่มีต่อ "นายใหญ่" เสมอมา
และที่สำคัญ "ยงยุทธ" ยังมี "ออปชั่น" เสริมอย่างที่ใครอีกหลายคนไม่มี
ประการแรก "ยงยุทธ" เป็นหนึ่งในจำนวน "สายตรง" ของ "นายใหญ่" ที่สามารถ "อู้คำเมือง" กันรู้เรื่อง
และหากจะวัดจากความไว้วางใจที่ "นายใหญ่" มอบให้เป็นการตอบแทน ชื่อของ "ยงยุทธ" ก็ถูกจัดอยู่ในอันดับต้นๆ เหตุผลนี้จึงทำให้ถูกวางตัวในตำแหน่งดังกล่าวตั้งแต่แรก เพราะต้องไม่ลืมว่า "รัฐบาลสมัคร 1" มีภารกิจสำคัญๆ หลายอย่าง โดยเฉพาะการแก้กฎหมายสำคัญๆ ไม่ว่าจะเป็นการแก้รัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรมอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ทั้ง 111 คน รวมถึงการแก้ พ.ร.บ.ความมั่นคงภายใน ซึ่งประธานสภามีหน้าที่ในการบรรจุวาระประชุม และวาระนั้นๆ จะถูกบรรจุช้าหรือเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับประธานสภาที่จะคำนึงถึงความเหมาะสม และเกมที่รัฐบาลได้กำหนดไว้