เศรษฐาขอโทษหลังโซเชียลดราม่าพูดจาไม่สุภาพ ใช้คำขี้ข้า
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง เศรษฐาขอโทษหลังโซเชียลดราม่าพูดจาไม่สุภาพ ใช้คำขี้ข้า
‘เศรษฐา' ขอโทษหลังโซเชียลดราม่าพูดจาไม่สุภาพใช้คำว่า ‘ขี้ข้า' ในการพบปะกับคนไทยในสหรัฐ แจงเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เป็นบทสนทนากับลูก ระบุ ถ้ามีใครขอคำแนะนำส่วนตัว อยากให้เป็นลูกจ้างในบริษัทใหญ่ สร้างคอนเน็กชั่นก่อน
เมื่อเวลา 08.20 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ถนนเทพรัตน (กม.1) เขตบางนา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการเดินทางไปเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ที่นครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาว่า ได้มีโอกาสพบปะกับชุมชนชาวไทยในสหรัฐ ส่วนใหญ่คนไทยมีปัญหาในเรื่องการเข้าเมือง จึงขอร้องให้ทางกงสุลไทยมาช่วยเหลือเพื่อให้เกิดความง่ายและสะดวกขึ้น และในเรื่องของวีซ่าได้ฝากทางเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลประจำลอสแอนเจลิสไปแล้ว
ซึ่งยอมรับว่าเป็นเรื่องยาก เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง ทางสหรัฐค่อนข้างพิถีพิถันมาก และได้บอกว่าตนในฐานะผู้นำรัฐบาลมีความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทยมีการลงทุนที่สูงขึ้น ฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในประเทศไทยต้องตื่นตัว และให้คนที่ปิดประตูว่าจะไม่กลับประเทศไทยแล้ว ก็ขอให้รู้ว่าอีก 3-5 ปีข้างหน้า ถ้ามีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมเพิ่มสูงขึ้น ก็มีโอกาสที่ทุกคนจะกลับมาช่วยกันสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศได้
นายเศรษฐากล่าวว่า จึงเป็นที่มาที่ไปในโซเซียลมีเดียมาล้อว่าลูกตนอยู่เมืองนอกอะไรแบบนี้ ก็เข้าใจดีว่าประเทศไทยเรายังต้องพัฒนา จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตนต้องเดินเข้ามาสู่เวทีการเมือง เพื่อต้องการยกระดับของประเทศไทยให้ดีขึ้น ให้เป็นที่หมายปองของทุกๆ คน อยากให้คนไทยกลับมาทำงานในเมืองไทยกันเยอะๆ
"มีนักศึกษาคนหนึ่งถามผมว่ามีคำแนะนำอย่างไร ผมก็บอกว่าผมแนะนำลูกผมให้ไปเป็นขี้ข้าเขาก่อน เพราะผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา ก็มีดราม่าไปพูดว่าผมพูดจาไม่สุภาพ ถ้าเผื่อตรงนั้นมีมุมมองเช่นนี้ผมก็ต้องขอโทษ แต่อันนั้นผมพูดกับลูกผม เพราะผมเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เพื่อให้เขาเห็นภาพว่า จริงๆ แล้วการไปทำงาน การไปเป็นลูกจ้างเขาก็ลำบากนะ การที่เราเพิ่งจบมาใหม่ๆ เราต้องมีความอดทน เขาใช้อะไร ผู้บังคับบัญชาพูดจาหรือใช้อะไรอาจจะไม่ถูกหูเรา แต่เราต้องมีความอดทน บางครั้งอาจจะมีการใช้ศัพท์แสง ก็เป็นการบริหารความคาดหวังของลูกผมมากกว่า แต่ยืนยันว่าเนื้อหาเหมือนเดิม คือถ้าจะถามผมส่วนตัวว่ามีคำแนะนำอะไรให้กับคนรุ่นใหม่ เด็กๆ ก็อยากให้ไปทำงานก่อน อย่าไปทำสตาร์ตอัพก่อนเลย ซึ่งก็แล้วแต่คนแล้วกัน แต่ถ้าส่วนตัวก็อยากให้ไปทำงานบริษัทใหญ่ๆ สัก 2-3 ปี ไปเรียนเรื่องระเบียบวินัย ไปสร้างคอนเน็กชั่น ไปสร้างเพื่อนฝูงในบริษัทใหญ่ๆ แล้วค่อยออกมาทำงาน ก็เป็นคำแนะนำส่วนตัว ก็เห็นต่างได้ ไม่เป็นไรครับ" นายเศรษฐากล่าว