เศรษฐา สอน ก้าวไกล อย่าใช้วาทกรรมด้อยค่าคนอื่น
วันนี้ (13 ก.ย.) เมื่อเวลา 19.41 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงเป็นครั้งที่ 6 ของวัน หลังพรรคก้าวไกลอภิปรายนโยบายรัฐบาลเรื่องการทหารว่า นโยบายรัฐบาลไม่มีความชัดเจนเรื่องการปฏิรูปกองทัพและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และมองว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นแค่ Messenger หรือโฆษกของกองทัพไม่กล้ามีปากมีเสียงหรือแม้แต่จะค้านอะไร ทำได้แค่รับคำสั่งจากกลาโหมแล้วส่งให้ครม. อนุมัติ ว่า ตนฟังมาก็เกือบสองวันเต็มแล้วเป็นอะไรที่ผมเชื่อว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่ฝังรากลึกคือเรื่องของการด้อยค่า กัน ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองด้วยกันเอง ทั้งที่ยังไม่ได้บริหารราชการ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันทหารอันทรงเกียรติ ซึ่งแน่นอนว่าทุกสถาบัน ทุกหน่วยงาน มีทั้งคนดีคนไม่ดี
นายกฯ กล่าวต่อว่า การที่เรามีการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นจุดเริ่มต้น ในการที่เราจะเข้ามาช่วยกันแก้ไข สะสางปัญหาที่หมักหมมมานาน เป็นปัญหาใหญ่ เป็นเรื่องของการที่ไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องของช่องว่างที่มีระหว่างกัน รวมถึงประเด็นที่ยกอภิปรายคือประเด็นของทหาร
นายกฯ ยืนยัน รัฐบาลของประชาชนภายใต้การนำของผม ผมใช้คำว่าพัฒนากองทัพ ผมเชื่อว่าความหมายใกล้เคียงกันผลลัพธ์ออกมาอาจจะแตกต่างกันบ้างตามการที่เปลี่ยนไป ตามขีดจำกัดในการทำงาน ตามผลลัพธ์ที่เราอยากออกมาให้เห็นสังคมเดินไปข้างหน้าได้ ลดความขัดแย้ง ลดการใช้วาทกรรมที่มีการด้อยค่ากันในสภาอันทรงเกียรตินี้
"เมื่อกี้ที่ฟังไปเห็นใบหน้ายิ้มแย้มหัวเราะเยาะกันไปกับตัวอย่าง อาจจะจริงหรือต้องการพิสูจน์ทราบ ผมเข้าใจวิธีการนำเสนอ แต่แทนที่จะทำให้บรรยากาศในการทำงานร่วมกัน ในการเจรจา ในการพัฒนาสถาบันทหารควบคู่กันไปเพื่อพี่น้องประชาชนอาจจะลำบากขึ้น ตนในฐานะผู้นำรัฐบาลมีความเป็นห่วงจริงๆ แต่ผมบังคับในการใช้วาทกรรมด้อยค่าไม่ได้ ผมว่าผมพูดมามากพอในเรื่องนี้แล้ว ว่าการที่เราจะพัฒนากองทัพรวมกัน ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องให้เกียรติกองทัพและภาคการเมืองที่ต้องมีเวลาในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกณฑ์ทหารแบบสมัครใจ ยืนยันเพื่อให้พี่น้องประชาชนทุกคนมีสิทธิ์ในการเลือกประกอบอาชีพอย่างสมศักดิ์ศรี โดยดำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของสถาบันทหาร เมื่อยามที่ต้องการการปกป้องอธิปไตยของคนไทย"
นายกฯ กล่าวต่อว่า ทหารเป็นภาคส่วนที่มีวินัยสูง ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพเป็นการเบื้องต้นอย่างผู้หลักผู้ใหญ่ที่อยากเห็นบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ เรื่องของการเคารพการมาช่วยกันพัฒนาประเทศ ซึ่งทหารก็ยืนยันว่าพร้อมที่จะเข้ามาช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในยามที่เกิดปัญหา
ส่วนเรื่องของการจัดซื้ออาวุธ ก็มีการพูดคุยกันว่าจะซื้อเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจเปราะบาง และรัฐบาลต้องการงบประมาณในการจัดสรรไปด้านอื่นๆที่อาจจะมีความจำเป็นมากกว่า
ขณะที่การนำพื้นที่ทหารมาให้พี่น้องประชาชนทำมาหากินก็เป็นเรื่องหนึ่ง ที่มีการพูดคุยกันซึ่งมีการตอบรับที่ดีจากกองทัพ ไม่ใช่แค่จัดการพื้นที่บางส่วนให้เข้าไปเช่าไปหรือโยนไปแค่บางส่วน แต่จะมีการพัฒนาพื้นที่เหล่านั้นให้มีความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นระบบชลประทาน เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้ามาสามารถทำมาหากินได้ จึงขอเวลาทำงานก่อน เพราะตนเพิ่งเข้ามาไม่อยากได้ยินการด้อยค่ากันและโตๆกันแล้ว เป็นผู้ใหญ่เข้าใจ ตระหนักดี
เมื่อชี้แจงถึงช่วงนี้ นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกประท้วง ว่า "ขอนายกฯ อย่าใช้ข้อความเสียดสีกัน หากรู้สึกว่าตนเองถูกเสียดสี สิ่งแรกที่ทำคือ อย่าเสียดสีพวกเรา"ขณะที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ซึ่งทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เห็นว่า การอภิปรายของพรรคก้าวไกลก็ใช้คำพูดรบกับท่านนายกฯและเห็นว่านายกไม่ได้ใช้คำเสียดสีอะไรจึงขอให้นายกชี้แจงต่อ
จากนั้น นายกฯ ได้ชี้แจงต่อโดยระบุว่า อีกหนึ่งประเด็นที่อยากชี้แจงต่อที่ประชุมคือปัญหาการซื้ออาวุธ ที่ค้างมาจากรัฐบาลก่อนๆ ตนคงไม่บอกว่าเห็นด้วยกับไม่เห็นด้วยในการซื้อยุทโธปกรณ์บางชนิด แต่วันนี้เราได้มาแล้ว ก็จะดูทุกอย่างให้มีความพร้อม เช่น เรื่องของเครื่องยนต์เรือดำน้ำก็มีการพูดคุยกันกับกองทัพ และในการเดินทาง ไปร่วมประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในอาทิตย์หน้านี้ก็ให้ทางกระทรวงการต่างประเทศนัดไปเจรจากับผู้นำระดับสูงของเยอรมัน หากมีความคืบหน้าก็จะนำมาชี้แจง พร้อมย้ำเมื่อมีไทม์ไลน์ที่ชัดเจน เกี่ยวกับประเด็นต่างๆของกองทัพก็จะนำมาชี้แจง"ประเทศเราต้องการความสามัคคีเห็นหัวใจซึ่งกันและกัน มีคนดีไม่ดี แต่ปัญหาต้องแก้ไขแบบบูรณาการ พูดจาด้วยความเข้าใจ มีเป้าหมายและไทม์ไลน์ที่ชัดเจน เมื่อบริหารจัดการแล้วจะแถลงร่วมกันระหว่างทหารและรัฐบาล ส่วนการทุจริตที่สงสัย เมื่อมีหลักฐานจะตรวจสอบและนำเสนอต่อไป" นายเศรษฐา กล่าว