ชูวิทย์ แฉซ้ำแสนสิริ โยงฟอกเงินต่างชาติ เปิดความสัมพันธ์2ตระกูลดัง
นายชูวิทย์ยืนยันว่า ตนเองพูดเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินและสาธารณะไม่เคยพูดเรื่องประเด็นส่วนตัว ซึ่งตัวเองยืนยันว่าที่แฉมานั้นเป็นการคอรัปชั่น ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของตัวเอง ซึ่งการที่ตัวเองถูกโจมตีนั้นย้ำว่าไม่เป็นปัญหา ตัวเองมีเอกสารทุกอย่างและยินดีไปกรมสรรพากรเพื่อชี้แจง
สำหรับการแฉ EP นี้นายชูวิทย์ ระบุถึงการซื้อขายดินสุขุมวิท 12 เป็นที่ดินเปล่าจำนวน 12 ไร่ เดิมอยู่ในนามบริษัท ศ.ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท เมื่อต้องการขายที่ดินจำนวน 2 ไร่เศษ ซึ่งเจ้าของมีการจำนองไว้กับธนาคาร 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในระหว่างการแถลงข่าวมีการนำคนแต่งกายชุดนอมินีมาประกอบการแถลงข่าวด้วย
นายชูวิทย์ บอกว่าได้มีการส่งคนไปที่ฮ่องกง เพื่อตามไปดูบริษัท crowncity พบว่าเป็นบริษัทผี ไม่มีคนทำงาน สภาพเหมือนแฟลต จึงตอกย้ำว่าคือบริษัทนอมินีชัดเจน พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการวางแผนคอรัปชั่นผู้ถือหุ้น
นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงข้อพิรุธเนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีการดำเนินการยังเป็นของคนไทยเมื่อวันศุกร์ แต่วันจันทร์เป็นบริษัทต่างด้าว และต่อมาบริษัทลูกของแสนสิริ คือ บริษัท พ.ไปซื้อที่ดินต่อจาก บริษัท crowncity ราคาเพียง 499 ล้าน ซึ่งบริษัทนี้มี พธศลย์ หรือ สกล เป็นกรรมการ
นายชูวิทย์ อ้างว่าคนที่ดำเนินการที่ชื่อว่าพธศลย์ หรือ สกล ทั้งเป็นนอมมินี เปลี่ยนโครงสร้างหุ้น และทำการขาย ซึ่งเป็นคนของแสนสิริ
นายชูวิทย์ ได้ข้อมูลว่าได้ไปตรวจสอบถึงบ้านของนายพธศลย์ พบเป็นทาวน์เฮ้าส์ มีการเปลี่ยนชื่อมา 4 ครั้ง และ นายเศรษฐา ไป อ้างว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับแสนสิริ อ้างมีความเกี่ยวข้องกับนามสกุล "จูตระกูล"และ "จารุทวี"
โดยมีการอ้างถึงความสัมพันธ์ connection tree ของนายเศรษฐา กับ นายอภิชาต จูตระกูล และ นายทศพงษ์ จารุทวี ว่ามีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด รวมไปบริษัท รปภ. ที่เป็นนอมินี ใช้รูปแบบเดียวกันหมด
และตั้งข้อสังเกตอีกว่าทำไมทุกครั้งที่แสนสิริซื้อที่ดิน บริษัทที่ขายจะกลายเป็นบริษัทร้าง ? เพราะไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 5 ปี เนื่องจากไม่จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 20 % จากการทำกำไรในการขายที่ดินจนเป็นบริษัทร้าง ทำไมทุกครั้งที่แสนสิริซื้อที่ดินผู้มีอำนาจลงนามของผู้ขายผู้ถือหุ้นแค่ 1 หุ้น แต่มีอำนาจควบคุม เซ็นชื่อแทน แม้ว่าผู้ถือหุ้นจะน้อยกว่าคนอื่น เพราะนิมินีที่ลงนามล้วนเป็นบุคคลใกล้ชิดที่ทำงานให้กับนายเบ้ง ทำหน้าที่เพียงลงนามในนิติกรรมแทน ส่วนทำไมทุกครั้งที่แสนสิริขายที่ดินจะมีเงินทอนเสมอ ที่ดินทองหล่อเงินทอน 435 ล้าน ที่ดินสุขุมวิทเงินทอน 675 ล้าน ? เพราะเป็นเงินที่ได้เร็ว โดยไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองไปลงทุน แต่ใช้เงินของผู้ถือหุ้นแทน
ดังนั้นนายเศรษฐาจะอ้างว่าการซื้อขายที่ดินเป็นเรื่องของผู้ขายไม่เกี่ยวกับตนเองไม่เป็นความจริง เพราะนาpเศรษฐา เป็นคนที่ตั้งบริษัทนอมินีทั้งหมด
ซึ่งตนเองเชื่อว่าหากนายเศรษฐา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน แต่หากได้ เป็นนายกรัฐมนตรีจริงก็จะอยู่ได้เพียง 3 เดือน และจะต้องเปลี่ยนครม.ใหม่ทั้งหมด เพราะเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายเศรษฐาและคนรอบตัว
นายชูวิทย์ ย้ำว่าการกระทำของตัวเอง มีเจตนาบริสุทธิ์ชัดเจน ส่วนใครที่จะโจมตี ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นนายกฯและไม่ใช่นักการเมือง เพราะฉะนั้นตนเองไม่กลัว ซึ่งหลักฐานที่ตนเองนำออกมาแฉจะรับผิดชอบทั้งหมดเพราะเป็นหลักฐานราชการ