ก้าวไกล เปิดคำร้องเต็ม ยัน แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง พร้อมต่อสู้
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ก้าวไกล เปิดคำร้องเต็ม ยัน แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง พร้อมต่อสู้
‘ก้าวไกล' เปิดคำร้องเต็มหลังถูกร้อง "ล้มล้างการปกครอง" ยัน แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง พร้อมแจงศาลรธน. 27 ส.ค.นี้
จากกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรค ก.ก. (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เฟซบุ๊กเพจ ‘พรรคก้าวไกล' ได้โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีดังกล่าว ระบุว่า
เปิดคำร้องแบบเต็ม พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหา ‘ล้มล้างการปกครอง' เพราะเสนอแก้ 112
‘แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง' ประโยคนี้กำลังถูกท้าทายจากบรรทัดฐานทางกฎหมายแบบไทยๆ อีกครั้ง เมื่อพรรค ก.ก. ถูกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในข้อหาล้มล้างการปกครอง โดยคำร้องมีความยาวเกือบ 20 หน้า บรรยายมาอย่างละเอียดโดยอ้างถึงพฤติกรรมที่ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้แก่ การที่หัวหน้าพรรค และ ส.ส. ของพรรค ก.ก. มีจุดยืนและการแสดงออกต่อสาธารณะในการเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
คำร้องนี้ยกความคิดเห็นและการตีความพฤติกรรมของพรรค ก.ก. จากบุคคลหลากหลายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา คุ้นจุดยืนกันดี เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสมเกียรติ อ่อนวิมล รวมถึงมีการยกคำให้สัมภาษณ์ที่นายพิธา ให้กับสำนักข่าวบีบีซี โดยมีการตัดทอนบทสัมภาษณ์ คัดเอาเฉพาะบางประโยคบางท่อนมาต่อกันเพื่อให้ดูสมกับข้อหาล้มล้างการปกครองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
คดีนี้เดิมพรรค ก.ก. จะต้องยื่นคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ แต่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการยื่นคำชี้แจงอีก 30 วัน เป็นวันที่ 27 สิงหาคม 2566
พรรค ก.ก.ยืนยันว่า เราสามารถชี้แจงทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหาได้อย่างมั่นใจ โดยยึดหลักการว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งที่กระทำมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และจะต้องทำได้ต่อไป
เราเชื่อว่าการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้ ไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง ในทางตรงกันข้าม จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต
จากกรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรค ก.ก. (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ. ... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม เฟซบุ๊กเพจ ‘พรรคก้าวไกล' ได้โพสต์ข้อความชี้แจงกรณีดังกล่าว ระบุว่า
เปิดคำร้องแบบเต็ม พรรคก้าวไกลถูกกล่าวหา ‘ล้มล้างการปกครอง' เพราะเสนอแก้ 112
‘แก้ไขไม่ใช่ล้มล้าง' ประโยคนี้กำลังถูกท้าทายจากบรรทัดฐานทางกฎหมายแบบไทยๆ อีกครั้ง เมื่อพรรค ก.ก. ถูกยื่นฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญในข้อหาล้มล้างการปกครอง โดยคำร้องมีความยาวเกือบ 20 หน้า บรรยายมาอย่างละเอียดโดยอ้างถึงพฤติกรรมที่ว่าเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ได้แก่ การที่หัวหน้าพรรค และ ส.ส. ของพรรค ก.ก. มีจุดยืนและการแสดงออกต่อสาธารณะในการเสนอให้แก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
คำร้องนี้ยกความคิดเห็นและการตีความพฤติกรรมของพรรค ก.ก. จากบุคคลหลากหลายที่เราคุ้นหน้าคุ้นตา คุ้นจุดยืนกันดี เช่น นายแก้วสรร อติโพธิ, นายสนธิ ลิ้มทองกุล, นายสมเกียรติ อ่อนวิมล รวมถึงมีการยกคำให้สัมภาษณ์ที่นายพิธา ให้กับสำนักข่าวบีบีซี โดยมีการตัดทอนบทสัมภาษณ์ คัดเอาเฉพาะบางประโยคบางท่อนมาต่อกันเพื่อให้ดูสมกับข้อหาล้มล้างการปกครองมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
คดีนี้เดิมพรรค ก.ก. จะต้องยื่นคำชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายในวันที่ 28 กรกฎาคมนี้ แต่ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลาการยื่นคำชี้แจงอีก 30 วัน เป็นวันที่ 27 สิงหาคม 2566
พรรค ก.ก.ยืนยันว่า เราสามารถชี้แจงทุกประเด็นที่ถูกกล่าวหาได้อย่างมั่นใจ โดยยึดหลักการว่าการแก้ไขมาตรา 112 เป็นสิ่งที่กระทำมาแล้วหลายครั้งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และจะต้องทำได้ต่อไป
เราเชื่อว่าการแก้ไขมาตรา 112 เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้ ไม่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งทางการเมือง ปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ไม่ใช่การล้มล้างการปกครอง ในทางตรงกันข้าม จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต