สส.ก้าวไกล จวก รัฐบาลบิดเบือน ใส่ร้ายผู้ชุมนุมขวางขบวนเสด็จ
นายพิจารณ์กล่าวว่า และที่มีการกล่าวหาว่าผู้ชุมนุมขวางขบวนเสด็จ ทั้งที่รัฐบาลเป็นผู้ถวายการอารักขาความเรียบร้อยในการเสด็จ และผู้ชุมนุมก็หลีกเลี่ยงเส้นทางนั้นแล้ว แต่รัฐบาลบกพร่องจนเกิดเรื่อง แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้สำนึกถึงความผิดพลาดของตนเอง แต่ไปใส่ร้ายผู้ชุมนุมนำไปสู่คดีความที่มีโทษถึงประหารชีวิต เติมเชื้อไฟในสังคม
นายพิจารณ์กล่าวว่า การสลายกาชุมนุมที่แยกปทุมวัน เช่น การฉีดน้ำที่มีสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม ก็เป็นการทำเกินกว่าเหตุ ขณะที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่ามีการดำเนินการบางเรื่องที่ผู้ชุมนุมของมาแล้ว แต่ตนอยากให้ชี้แจงให้ชัดเจนว่าทำเรื่องไหนแล้วบ้างและความคืบหน้าถึงไหน ไม่ใช่การฟอกขาวตัวเองและปกปิดความผิดในการแก้ปัญหาประเทศ
นายกรัฐมนตรีต้องหยุดคุกคามประชาชนด้วยกฎหมายพิเศษ ที่ผ่านมาเคยมีการชุมนุมยืดเยื้อยาวนาน ทำลายทรัพย์สินราชการ จนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่สำหรับการชุมนุมนี้ไม่มีถึงขั้นนั้น แล้วจะประกาศให้ถอยคนละก้าว แต่ท่านก้าวเกินมาหลายก้าว ยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่เท่ากับเพิกถอน นายกรัฐมนตรีต้องยกเลิกการดำเนิคดีกับผู้ที่ชุมนุมโดยสงบ
นายกรัฐมนตรีเป็นคนเสพติดอำนาจ สมัยนี้ไม่มีเครื่องมือเหมือนหลังรัฐประหาร พอเกิดโรคระบาดจึงต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน นี่คือพฤติกรรมของผู้นำประเทศที่ลุแก่อำนาจและเสพติดอำนาจโดยแท้ อำนาจตุลาการก็บิดเบี้ยว ตอบสนองความอยุติธรรมในสังคม
ส่วนคำถามที่นายกรัฐมนตรีถามว่า ‘ผมผิดอะไร' นั้น คำตอบชัดเจนอยู่แล้วว่าความแตกแยก ความยากจน ความสิ้นหวัง ความลำบากของประชาชนในห้วงเวลานี้คือคำตอบ ทางออกของประเทศต้องเริ่มที่นายกรัฐมนตรีต้องยอมรับว่าตัวเองคือต้นตอของปัญหา อย่าปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
ถึงเวลาที่พรรคร่วมรัฐบาลต้องทบทวนท่าทีนายกรัฐมนตรี หยุดนำความจงรักภักดีมากอดตัวเอง หยุดรักษาไว้ซึ่งอำนาจและปกปิดความผิดความล้มเหลวที่ตัวเองก่อ หยุดสะกดจิตตัวเองว่าไม่ผิดและยอมลาออกเปิดทางให้คนที่เห็นคนเท่าเทียมกันเข้ามาทำงานเพื่อหาทางออกของประเทศที่มีฉันทามติร่วมกัน แก้ไขรัฐธรรมนูญและคืนอำนาจให้ประชาชน