ผบ.ทบ.คนใหม่ ยันโอกาสรัฐประหารเป็น ‘ศูนย์’
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง ผบ.ทบ.คนใหม่ ยันโอกาสรัฐประหารเป็น ‘ศูนย์’
"ผบ.ทบ."ชี้ โอกาสปฏิวัติเป็นศูนย์ เตือนลดเงื่อนไขให้ติดลบ การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ลั่นในหัวของตน คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของ 4 อย่างนี้ ยกคำสมเด็จโตฯ ใช้กระจกหกด้านส่องคนเรียกร้อง 10 ข้อปฏิรูปสถาบัน
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.)วาระพิเศษระดับผู้บัญชาการกองพลหรือเทียบเท่าครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งถึงแนวนโยบายกองทัพกับการเมืองว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ถ้าบอกว่ากองทัพกับรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกองทัพปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตนเป็นข้าราชการประจำไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ดังนั้นตนปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. 3 ปี จะให้ความมั่นใจหรือให้สัญญากับประชาชน รัฐบาลหรือนักลงทุนอย่างไรว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า คำถามนี้ถามมาทุกผบ.ทบ. และทุกคนก็ตอบไปหมดแล้วคือโอกาสของการทำเรื่องพวกนี้ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด บนพื้นฐานที่อย่าให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างเงื่อนไขปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรง และกระทบต่อความเดือดร้อน ตนถือว่าพล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้ตอบไปแล้วภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตนอยากให้ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ด้วยการขจัดเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ให้หมดไป จากประเทศไทยและติดลบ เพราะศูนย์ก็ไม่พอ แต่การจะติดลบได้ทุกคนต้องช่วยกัน
ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แถลงภายหลังเป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก (นขต.ทบ.)วาระพิเศษระดับผู้บัญชาการกองพลหรือเทียบเท่าครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่งถึงแนวนโยบายกองทัพกับการเมืองว่า การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง แต่ถ้าบอกว่ากองทัพกับรัฐบาลก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะกองทัพปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล ตนเป็นข้าราชการประจำไม่ใช่ข้าราชการการเมือง ดังนั้นตนปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล รมว.กลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด
เมื่อถามว่า ในฐานะที่ดำรงตำแหน่งผบ.ทบ. 3 ปี จะให้ความมั่นใจหรือให้สัญญากับประชาชน รัฐบาลหรือนักลงทุนอย่างไรว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดขึ้น
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า คำถามนี้ถามมาทุกผบ.ทบ. และทุกคนก็ตอบไปหมดแล้วคือโอกาสของการทำเรื่องพวกนี้ทุกอย่างเป็นศูนย์หมด บนพื้นฐานที่อย่าให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสร้างเงื่อนไขปัญหาความขัดแย้งที่รุนแรง และกระทบต่อความเดือดร้อน ตนถือว่าพล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) ได้ตอบไปแล้วภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตนอยากให้ทุกคนร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งเหล่านี้ด้วยการขจัดเงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ให้หมดไป จากประเทศไทยและติดลบ เพราะศูนย์ก็ไม่พอ แต่การจะติดลบได้ทุกคนต้องช่วยกัน
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่าให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด แม้สถานการณ์จะนำพาเราไป
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า "โอกาสมันไม่มีอยู่แล้ว ตนคิดว่าสถานการณ์ประเทศไทยไม่มี เพราะตอนนี้เราเป็นประเทศที่ดีที่สุด เราก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นประเทศที่มีเสรีมากที่สุด และมีความอุดมสมบูรณ์ ที่เราอยู่กันแล้วมีความสุข คนส่วนใหญ่และใครๆก็อยากมาอยู่ประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงสภาวะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แบบนี้ที่มีมาตรการ มากรช่วยเหลือกันและมีวินัยรักษาตัวเอง เราจึงต้องช่วยกันขจัดเงื่อนไขต่างๆและทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวมากกว่าประเทศอื่น รวมถึงให้ประเทศสามารถควบคุมอะไรทุกอย่างได้ และให้มีการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ตอนนี้ทั่วประเทศเฝ้ามองอยู่ เพราะเขาก็อยากมาประเทศไทย"
เมื่อถามถึง การชุมนุมทางการเมืองที่มีการหมิ่นสถาบัน
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสรีภาพ ตนถามว่าใครที่บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นคืออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นก็มีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพด้านใดด้านหนึ่งต้องมี 2 เรื่องประกอบ คือ 1.ต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น 2.ต้องมีความรับผิดชอบต่อเสรีภาพที่ตนเองกระทำ ถ้าไปก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า มองว่าข้อเรียกร้องปฏิรูปสถากษัตริย์ 10 ข้อของนักศึกษาก้าวล่วงสถาบันหรือไม่
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ก็เหมือนกับการปฏิรูป แต่การปฏิรูปคือการแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นทุกคนควรกลับมามองและปฏิรูปตนเองก่อน เหมือนกับคำสอนของสมเด็จโตฯ ตนเป็นชาวพุทธที่นับถือสมเด็จโตท่านสอนเรื่องกระจกหกด้าน ไม่ใช่มองแต่ด้านตัวเองว่าดีและถูกต้องหมดทุกอย่าง ซึ่งต้องมองมุมอื่นด้วยทั้ง 6 ด้าน ตนอยากให้ทุกคนมองตนเองก่อนและกลับไปดูตนเองว่ามีความถูกต้อง สมบูรณ์ และมีความวิริยะก่อนที่จะไปบอกให้คนอื่นทำแบบนั้นแบบนี้
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า "โอกาสมันไม่มีอยู่แล้ว ตนคิดว่าสถานการณ์ประเทศไทยไม่มี เพราะตอนนี้เราเป็นประเทศที่ดีที่สุด เราก็เห็นอยู่แล้วว่าเป็นประเทศที่มีเสรีมากที่สุด และมีความอุดมสมบูรณ์ ที่เราอยู่กันแล้วมีความสุข คนส่วนใหญ่และใครๆก็อยากมาอยู่ประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงสภาวะการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 แบบนี้ที่มีมาตรการ มากรช่วยเหลือกันและมีวินัยรักษาตัวเอง เราจึงต้องช่วยกันขจัดเงื่อนไขต่างๆและทำให้ประเทศไทยฟื้นตัวมากกว่าประเทศอื่น รวมถึงให้ประเทศสามารถควบคุมอะไรทุกอย่างได้ และให้มีการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ตอนนี้ทั่วประเทศเฝ้ามองอยู่ เพราะเขาก็อยากมาประเทศไทย"
เมื่อถามถึง การชุมนุมทางการเมืองที่มีการหมิ่นสถาบัน
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสรีภาพ ตนถามว่าใครที่บอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตยนั้นคืออะไรที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ทุกคนก็มีเสรีภาพ แต่เสรีภาพการแสดงความคิดเห็นก็มีตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเข้าใจว่าการใช้สิทธิเสรีภาพด้านใดด้านหนึ่งต้องมี 2 เรื่องประกอบ คือ 1.ต้องไม่ก้าวล่วงสิทธิของคนอื่น 2.ต้องมีความรับผิดชอบต่อเสรีภาพที่ตนเองกระทำ ถ้าไปก้าวล่วงหรือทำผิดกฎหมาย
เมื่อถามว่า มองว่าข้อเรียกร้องปฏิรูปสถากษัตริย์ 10 ข้อของนักศึกษาก้าวล่วงสถาบันหรือไม่
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ก็เหมือนกับการปฏิรูป แต่การปฏิรูปคือการแก้ไขปรับปรุง ดังนั้นทุกคนควรกลับมามองและปฏิรูปตนเองก่อน เหมือนกับคำสอนของสมเด็จโตฯ ตนเป็นชาวพุทธที่นับถือสมเด็จโตท่านสอนเรื่องกระจกหกด้าน ไม่ใช่มองแต่ด้านตัวเองว่าดีและถูกต้องหมดทุกอย่าง ซึ่งต้องมองมุมอื่นด้วยทั้ง 6 ด้าน ตนอยากให้ทุกคนมองตนเองก่อนและกลับไปดูตนเองว่ามีความถูกต้อง สมบูรณ์ และมีความวิริยะก่อนที่จะไปบอกให้คนอื่นทำแบบนั้นแบบนี้
เมื่อถามว่า ได้ให้นโยบายเรื่องการปกป้องสถาบันได้ให้นโยบายอย่างไรบ้าง
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ในหัวของตนมี 4 อย่าง คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความมั่นคงของ 4 อย่างนี้ ซึ่งไม่บอกว่าจะทำอะไร แต่จะทำตามอุดมการณ์ของกองทัพบก และอุดมการณ์ของตนที่ยึดถือมาตั้งแต่เข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
เมื่อถามว่า 4 สถาบันหลักจะปกป้องอย่างไร
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า "ผมก็เข้าใจสื่อบางทีก็พยายามนั่งคิด นอนคิด กินข้าวก็คิด ทำอะไรก็คิดสิ่งต่างๆเหล่านี้มา ผมคิดว่าบางทีเดี๋ยวจะเครียด บางทีทางสำนักเขาใช้งานเราเยอะเกินไป บางทีต้องมีเวลาออกกำลังกายบ้าง ไปกินอาหารดีๆ นอนหลับพักผ่อน รักษาสุขภาพ จะได้ทำข่าวได้นานๆ ถ้านั่งคิดนอนคิดจนนอนไม่หลับเดี๋ยวสุขภาพไม่ได้ก็จะไม่ได้มาพบปะพูดคุยกัน บางเรื่องปล่อยวางบ้าง ส่วนถึงขั้นต้องไปปฏิบัติธรรมหรือไม่ก็แล้วแต่คน ถ้าเป็นชาวพุทธก็ไปไหว้พระสวดมนต์ ผมเย็นก็ออกกำลังกาย อาบน้ำ ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน และก็นอนหลับสบาย"
เมื่อถามว่า มองว่าบ้านเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไป
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรอบกฎหมายที่เป็นกรอบระเบียบของบ้านเมืองและสังคม เราอยู่ในสังคมใหญ่ก็มีคนหลายพวกหลายความคิดอยู่แล้ว เพียงแต่สังคมส่วนร่วมต้องควบคุม
เมื่อถามว่า หากมีความรุ่นแรงเกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชุมนุม จะเป็นเงื่อนไขในการที่ทหารจะออกมาทำรัฐประหารหรือไม่
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า รุ่นแรงอย่างไร ซึ่งต่างฝ่ายต่างบอกว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง แล้วความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาดูแลความเรียบร้อยไม่มีการพกอาวุธอะไรเลย เราเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาว่า ความรุนแรงไม่มีประโยชน์ สำหรับทุกสังคมในโลก
เมื่อถามว่า สถานการณ์ปัจจุบันมีความเป็นห่วงเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น เรื่องการชุมนุม ทางตำรวจก็เป็นผู้รับผิดชอบอยู่แล้วตามปกติอยู่แล้ว
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น