“บิ๊กจิ๋ว” ปาฐกถาพิเศษ เรื่องวาระแห่งชาติการพัฒนาท้องถิ่นอีสานยั่งยืน ระบุ เล่น-ไม่เล่นการเมืองรอเสียงประชาชนตัดสินใจ อาจลงสังกัดพรรคเล็กสู้ศึกเลือกตั้ง หลังปัดร่วมพลังประชาชนเนื่องจากนโยบายไม่ตรงกัน ชี้เพิ่มกฏอัยการศึก 3 จังหวัดต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ
(13ตค.) พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางมาปาฐกถาพิเศษ เรื่องวาระแห่งชาติการพัฒนาท้องถิ่นอีสานยั่งยืน ที่วัดป่าแสงอรุณ ต.พระลับ อ.เมือง จ.ขอนแก่น ที่ชมรมวิจัยเพื่อเกษตรกร นำโดยนายสุดใจ กุยบึงฉิม นายอบต.พระลับ จัดขึ้น โดยมีนายไทกร พลสุวรรณ แกนนำขบวนการอีสานกู้ชาติ และศิลปินนักร้องลูกทุ่งชื่อดังอย่างไมค์ ภิรมภรณ์ และประชาชนเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน
พลเอกชวลิต ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับทิศทางการเมืองของตนเอง ว่า
การกลับมาลงเล่นการเมืองนั้นต้องรอความเห็นจากประชาชน ว่าอยากให้ลงมาหรือไม่ เพราะขณะนี้ก็อายุมากแล้ว อาจมีเวลาแค่ปีสองปี ซึ่งที่ผ่านมาก็รอดูอยู่ข้างนอก แต่ส่วนใหญ่ประชาชนก็เรียกร้อง ซึ่งเรื่องนี้ต้องรอก่อน เพราะว่าการเล่นการเมืองในครั้งนี้ก็เพราะเกิดจากความต้องการของประชาชนจริง ๆ
ส่วนพรรคการเมืองที่จะสังกัดนั้น ที่เคยเล็งไว้ในช่วงแรกนั้น ครั้งแรกตั้งใจว่าจะไปอยู่พรรคพลังประชาชน
แต่การไปต้องมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรือ ปฏิเสธนโยบายที่จะสร้างความขัดแย้งในสังคม โดยตั้งใจจะใช้นโยนายสอดประสานสังคม ซึ่งจะใช้พลังของพรรคส่วนใหญ่ลงไปช่วยเหลือประชาชนเป็นหลัก แต่มีปัญหาอะไรต่าง ๆ จึงไม่สามารถไปอยู่ร่วมกับพรรคพลังประชาชนได้
“เมื่อไม่ได้ ก็จะหันมาหาจุดเชื่อมต่อ หรือจุดควบคุมแนวทางทางสังคม
แม้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ แต่ก็เป็นจุดสำคัญในการสร้างความสมดุลให้กับสังคมได้ นั่นก็คือพยายามมองหาพรรคเล็ก ๆ ที่จะให้พัฒนาต่าง ๆ ซึ่งก็มีการติดต่อเข้ามา แต่ขณะนี้ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ ซึ่งก็ถือว่าหมดแล้ว แต่ก็เหลืออีกหนทางเดียวคือตั้งพรรคเองถามว่าจะตั้งทันไหม แต่เรื่องนี้เราก็มีพรรคการเมืองมากมายอยู่แล้ว ก็อยากไปร่วมกับพรรคไหนก็ได้ที่มีแนวทาง มีคนไว้ใจช่วยกันทำงานได้ พยายามอยากให้เป็นแนวทางนี้มากกว่า ถ้าร่วมกันไม่ได้ จะช่วยทำงานเพื่อแผ่นดินต่อไปได้อย่างไร ขณะนี้คงอาจติดกับผู้ประสานงาน ยังไม่ชัดเจน อาจมีความเข้าใจผิด ดังนั้นการหันหน้าเข้าหากันสักครั้งอาจทำให้รวมตัวกันได้ ส่วนความเป็นได้ว่าตั้งพรรคหรือเข้าร่วมพรรคเล็กนั้น คงต้องรออีกระยะ”พลเอกชวลิตกล่าว
ขณะที่กรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เข้าร่วมกับพรรคพลังประชาชนนั้น พลเอกชวลิต กล่าวว่า
ก็มีการปรึกษา" เขาเห็นว่าดี ก็ไปเถอะ เป็นความคิดของเขาเอง ก็ไม่ได้ว่าอะไรส่วน ผมยังติดอยู่ที่ประเด็นเดียวคือต้องการทำเพื่อแผ่นดินให้จบ เมื่อเข้าไปแล้ว ไม่สามารถสานต่อได้ก็ไม่ไป เพาะต้องการให้ใช้นโยบายของตน ซึ่งจะเป็นแนวทางที่เกิดความสันติสุขอย่างแน่นอน"
ส่วนกรณีที่มีการประกาศกฏอัยการศึกเพิ่ม 3จังหวัดประกอบด้วย จ.หนองคาย จ.นครพนม และจ.มุกดาหาร พลเอกชวลิต กล่าวว่า
ตรงนี้ต้องฟังเขา เขาบอกว่าประกาศเพราะมีปัญหา เรื่องชายแดน ยาเสพติด ก็ไม่เป็นไร ก็ให้แป็นอย่าง อย่าทำเพราะไม่ชอบ หรือต้องการตัดทอนเสรีภาพ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะเสียหาย แต่ก็เชื่อว่าผู้มีอำนาจคงไม่ทำอย่างนั้น แต่ทั้งนี้ต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ ในการประกาศใช้อำนาจพิเศษ
นอกจากนี้พลเอกชวลิต ได้กล่าวปากฐาพิเศษสรุปใจความตอนหนึ่งว่า
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เกิดจากตัวบุคคล ครอบครัว ท้องถิ่น ซึ่งต้องให้ประชาชนเป็นคนจัดการปัญหาเอง โดยการมอบหน้าที่ รวมทั้งงบประมาณท้องถิ่นให้เป็นคนจัดการ ซึ่งที่ผ่านมาคนที่อยู่ระดับบนพยายามแก้ปัญหาแต่ก็ไม่เกิดประโยชน์ เนื่องจากไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ดังนั้นการกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นเป็นเรื่องสำคัญ ที่ผ่านมามีการกระจายอำนาจลงมาเพียง 25.2 เปอร์เซนต์เท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ต้องเป็น 35 เปอร์เซนต์ ซึ่งต้องพยายามผลักกันให้มีการโอนงบลงมาให้ท้องถิ่นเป็นคนจัดการเอง รวมการแก้ปัญหาอื่น ๆ หนี้สิน ความยากจน การปลูกต้นไม้
นอกจากนี้เชื่อว่าหากใช้แนวทางนี้ ภายใน 5 ปี ปัญหาของคนอีสานจะหมดไปและจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนในอดีตอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้สามารถทำได้ หากประชาชนหรือท้องถิ่นเป็นผู้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของเขาเอง
พลเอกชววิต กล่าวว่า
ในปี 2544 พรรคความหวังใหม่มีส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเพียง 36 คน จึงได้มีการประชุมพรรค ซึ่งสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ก็โหวตให้ร่วมกับพรรคไทยรักไทย ซึ่งครั้งนั้นยอมรับว่าเสียใจมาก "จึงตัดสินใจตอนนั้นว่าขอทำงานอยู่ข้างนอก แต่ลูกหลานไม่ยอม ก็จำใจทำงานไป แม้ว่าจะสามารถทุบโต๊ะในหลายเรื่องแต่ก็ไม่เต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ลงมาท้องถิ่น ก็เป็นคนบอกให้เพิ่มลงมา แต่ทุกวันนี้ก็มีการตัดงบออกจากพื้นที่ ซึ่งก็สร้างปัญหาตามมาอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน " พลเอกชวลิต กล่าว