ส.ป.ก. ขีดเส้น 7 วัน สั่ง “ปารีณา” คืนที่ดิน 682 ไร่ เนื่องจากขาดคุณสมบัติการครอบครอง

นายวิณะโรจน์ ยืนยันว่า การครอบครองที่ดินในเขตส.ป.ก.ของนางสาวปารีณา โดยไม่ได้รับอนุญาต มีจำนวน 682 ไร่ ซึ่งรับโอนสิทธิ์มาจากนาย ทวี ไกรคุปต์ ตั้งแต่ช่วงปี 2548-2549 และในช่วงระยะเวลาที่ ส.ป.ก.ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ ได้พยายามส่งหนังสือแจ้งไปยัง นางสาวปารีณา ให้เข้ามาชี้แจงการถือครองที่ดินหลายครั้ง เนื่องจากพบว่า การถือครองที่ดินดังกล่าว ถูกจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในการตั้งเขาสนฟาร์ม และ มีชื่อนางสาวปารีณา เป็นกรรมการบริษัทแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

จนกระทั่ง นางสาวปารีณา ส่งหนังสือมาให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบอัตราส่วนที่ดิน ขณะเดียวกัน นางสาวปารีณา ได้ยื่นความประสงค์ขอเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แต่จากการตรวจสอบคุณสมบัติ นางสาวปารีณา ไม่ผ่านหลักเกณฑ์ ที่จะเข้าสู่การรับจัดสรรที่ดิน ส.ป.ก.ได้ โดยเฉพาะมีสถานะเป็นส.ส. อีกทั้งยังเป็นเจ้าของบริษัท ไม่ใช่สถานะเกษตรกร ส.ป.ก.จึงเตรียมที่จะส่งหนังสือแจ้งขอคืนที่ดินทั้งหมดจำนวน 682 ไร่ที่นางสาวปารีณา ครอบครอง ภายใน 2-3 วันนี้

ทั้งนี้หนังสือดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในวันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม และนับจากได้รับหนังสือแจ้ง ต้องส่งมอบที่ดินพร้อมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างคืนภายใน 7 วัน แต่หากยังไม่ได้รับความร่วมมือ ส.ป.ก.จะดำเนินการตามคำสั่งของคสช.เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาการครอบครองที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อเข้ายึดคืน และดำเนินคดีอาญาตาม พ.ร.บ.ส.ป.ก.

เลขาธิการ ส.ป.ก.ยืนยันว่า ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทำการตรวจสอบสิทธิ์การครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.มาตลอดไม่ได้ปล่อยปละละเลย จนทำให้เกิดกรณีการเข้าครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ของนางสาวปารีณา แต่ต้องยอมรับว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่ รับผิดชอบหลายส่วน ไม่ใช่เพียงแค่ตรวจสอบ ป้องกันการเข้าไปครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ยังต้องทำควบคู่ไปกับการตรวจสอบการโอนสิทธิ์, เปลี่ยนแปลงสิทธิ์ และจัดสรรที่ให้กับชาวบ้าน โดยมีเนื้อที่รับผิดชอบทั่วประเทศรวม 40 ล้านไร่ ขณะเดียวกัน ที่ดิน ที่นางสาวปารีณา ครอบครอง จำนวน 46 ไร่ ในพื้นซึ่งกรมป่าไม้แจ้งดำเนินคดี ซึ่งอยู่ในเขาสวนฟาร์มเช่นกันนั้น เลขาธิการ ส.ป.ก.ยังไม่ชี้ชัดว่าทับซ้อนกับที่ ส.ป.ก.หรือไม่ เพราะแยกการดำเนินการเป็นคนละส่วนกัน

ส่วนก่อนหน้านี้ที่นางสาวปารีณา แจ้งการครอบครองที่ดิน รวมจำนวน 1,700 ไร่ เลขาฯสปก.ระบุว่า เป็นการแจ้งกับหน่วยงานอื่น ซึ่งไม่ใช่อำนาจของ ส.ป.ก.ที่จะไปก้าวล่วงได้ พร้อมย้ำ ส.ป.ก.ได้ดำเนินการไปตามอำนาจในส่วนที่รับผิดชอบไปแล้ว